เมื่อวันที่ 22 ก.ย. น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยภายหลังการประชุมผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ว่า ที่ประชุมได้วางแผนมาตรการเปิดภาคเรียนที่ 2 ในวันที่ 1 พ.ย.นี้ ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) จะร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ในการวางแผนการเปิดภาคเรียนให้อยู่ภายใต้มาตรการความปลอดภัยด้านสุขภาพ พร้อมกับการวางแผนการฉีดวัคซีนให้แก่นักเรียนที่มีอายุ 12-17 ปีว่าจะมีแนวทางอย่างไรบ้าง โดยเบื้องต้นศึกษาธิการจังหวัด (ศธจ.) และสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) จะต้องเป็นเจ้าหลักในการบูรณการรวบรวมข้อมูลและชี้แจงทำความเข้าใจให้แก่ผู้ปกครองได้รับทราบถึงแนวทางการฉีดวัคซีน เพื่อประสานข้อมูลการฉีดวัคซีนร่วมกับสาธารณสุขจังหวัด  ซึ่งตนได้มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ไปจัดทำแผนการเปิดภาคเรียนว่าจะวางแนวทางการเปิดเรียนในรูปแบบปกติอย่างไรบ้าง โดยเฉพาะกลุ่มเด็กเล็กระดับปฐมวัยไปจนถึงประถมศึกษาปีที่ 1 ที่ยังไม่สามารถฉีดวัคซีนได้จะวางแนวทางดูแลเด็กกลุ่มนี้ให้ปลอดภัยอย่างไรเมื่อมีการเปิดเรียนตามปกติแล้ว

รมว.ศธ. กล่าวต่อไปว่า ทั้งนี้แนวทางการดูแลความปลอดภัยด้านสุขภาพของกลุ่มเด็กเล็กระดับปฐมวัยไปจนถึงประถมศึกษาปีที่ 1 นั้นได้มอบหมายให้ ดร.สุภัทร จำปาทอง ปลัด ศธ.และสพฐ. ไปประชุมร่วมกับแพทย์ด้านกุมารเวช เพื่อวางแผนเปิดเรียนอย่างปลอดภัยให้แก่เด็กกลุ่มนี้ เพราะขนาดของสถานศึกษามีความแตกต่างกันมีตั้งแต่โรงเรียนขนาดใหญ่ไปจนถึงขนาดเล็ก ดังนั้นการเปิดเรียนในรูปแบบปกติจะต้องเพิ่มความเข้มข้นมาตรการกับกลุ่มโรงเรียนขนาดไหนมากที่สุด เช่น โรงเรียนในพื้นที่ห่างไกลมีนักเรียนอยู่ 50 คนจะต้องวางมาตรการเปิดเรียนอย่างไรบ้าง เป็นต้น

“การเปิดภาคเรียนที่ 2 ในรูปแบบปกติหรือ OnSite นั้นเราจะไม่ยึดพื้นที่สีแดงแล้ว แต่จะพิจารณาเปิดภาคเรียนลงไปในระดับชุมชน อำเภอ หรือตำบล โดยหากชุมชนไหนปลอดเชื้อเป็นพื้นที่สีเขียวเราจะให้โรงเรียนเปิดเรียนแบบ OnSite ตามปกติ เพื่อไม่ให้เด็กขาดโอกาสในการเรียนรู้ เพราะเราปิดเรียนมากว่า1ภาคเรียนแล้ว ดังนั้นเมื่อสถานการณ์เอื้อให้เปิดเรียนตามปกติได้เราต้องทำแต่ต้องอยู่ภายใต้มาตรการที่ปลอดภัยสูงสุดด้วย ส่วนโครงการ “โรงเรียน Sandbox Safety Zone in School” (SSS) นั้น ขณะนี้เฟสแรกดำเนินการไปแล้ว ส่วนเฟสสองจะดำเนินการเอกชนประเภทโรงเรียนนานาชาติที่สลับการเรียนในรูปแบบประจำและไปกลับ” น.ส.ตรีนุช กล่าว