เมื่อวันที่ 3 ส.ค. นายอัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ส่งผลให้ต้องจัดการเรียนการสอนผ่านระบบออนไลน์ ทำให้เด็กได้รับความรู้ไม่เต็มที่นั้น ในส่วนของการประเมินผลการเรียน หรือจัดสอบเพื่อเลื่อนชั้น สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)ได้ย้ำกับโรงเรียนต่างๆ ว่า การประเมินผลการเรียนเพื่อเลื่อนชั้น ยังคงต้องมีแต่ให้ปรับยืดหยุ่นตามสถานการณ์ ไม่มีการสอบวัดความรู้ตามเนื้อหาการเรียน แต่อาจใช้การประเมินผ่านใบงาน หรือยืดหยุ่นตามบริบทของพื้นที่ เช่นเดียวกับการเรียนในภาคเรียนที่ 2 โรงเรียนก็ต้องยืดหยุ่นการเรียนการสอนได้ตามสถานการณ์ พร้อมยืนยันว่า นโยบายของ สพฐ.ให้สถานศึกษาเป็นผู้ตัดสินใจในการจะเปิดหรือไม่เปิดสอนยังสถานศึกษา โดยการตัดสินใจต้องได้รับการยอมรับจากชุมนุมเป็นอันดับแรก จากนั้นต้องขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการโรคติดต่อประจำจังหวัดเป็นผู้อนุมัติ และโรงเรียนต้องปฏิบัติตามมาตรการที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดอย่างเข้มข้นที่สุด 

“ตอนนี้มีสถานศึกษาหลายแห่งที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดสีแดงเข้ม แต่ในชุมชนไม่มีการระบาดของโควิด-19 และถือว่าเป็นสีเขียวอย่างจะเปิดการเรียนการสอนที่สถานศึกษา โดยความร่วมมือกันระหว่างโรงเรียน ผู้ปกครอง ชุมชน และ อสม.เข้ามาดูแลเพื่อให้บุตรหลานได้กลับมาเรียนยังสถานศึกษา ซึ่งขณะนี้ สพฐ. ได้รับรายงานว่ามีสถานศึกษาในลักษณะดังกล่าวเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เช่น สถานศึกษาในจังหวัดเชียงราย ก็ดำเนินการในลักษณะนี้แล้ว หรือแม้แต่จังหวัดน่าน ที่สถานศึกษาแต่ละแห่งอยู่ห่างไกลกันก็ดำเนินการในลักษณะดังกล่าวแล้ว ทั้งนี้ ยืนยันว่า สพฐ.คงไม่มีนโยบายเดียวให้โรงเรียนทุกแห่งทั่วประเทศต้องปฏิบัติเหมือนกันหมด แต่จะให้ดูความเหมาะสมกับบริบท และความต้องการของแต่ละพื้นที่เป็นสำคัญ” เลขาธิการ กพฐ. กล่าว  

ดร.อัมพร กล่าวต่อไปว่า ส่วนที่หลายฝ่ายกังวลว่าการดำเนินการสอบแข่งขันเพื่อบรรจุ และแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครู และบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครูผู้ช่วย ที่ต้องเลื่อนออกไปเนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ประกอบกับจะมีข้าราชการครูจำนวนหนึ่งต้องเกษียณอายุในเดือน ก.ย. อาจส่งผลกระทบปัญหาขาดแคลนครู นั้นขอยืนยันว่าไม่มีปัญหาแต่อย่างใด เนื่องจากในปีนี้มีครูและบุคลากรทางการศึกษาจะเกษียณอายุราชการประมาณ 20,000 คน ขณะที่ สพฐ.ที่สถานศึกษาในสังกัดทั้งหมดกว่า 35,000 แห่ง เฉลี่ยแล้วเกษียณอายุราชการแห่งละคน รวมถึงสถานศึกษาแต่ละแห่งก็มีการจ้างครูอัตราจ้างอยู่แล้วจึงไม่กระทบแต่อย่างใด แต่อย่างไรก็ตาม หากสถานศึกษาใดมีผลกระทบจากการขาดแคลนครูก็ได้มอบหมายให้ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาแต่ละแห่งทั่วประเทศบริหารจัดการให้พื้นที่เรียบร้อยแล้ว