เมื่อวันที่ 5 พ.ค. ผู้สื่อข่าวได้รับการร้องทุกข์จาก น.ส.เอ (นามสมมุติ) อายุ 40 ปี สาวโรงงานแห่งหนึ่งในพื้นที่เขตนิคมอุตสาหกรรมกบินทร์บุรี ว่า มีชายคนหนึ่งอ้างตัวเป็นทหารยศจ่าสิบเอก ได้ตกลงกับ น.ส.เอ และบิดามารดาว่าจะมาจัดพิธีมงคลสมรสในวันที่ 1 พ.ค.ที่ผ่านมา โดยทางเจ้าสาวได้จัดเตรียมงานทั้งพิธีทางศาสนา โต๊ะจีน พร้อมเครื่องดื่ม 50 โต๊ะ สำหรับเลี้ยงแขก พอถึงวันงานแขกเหรื่อเริ่มเข้ามาภายในงาน ซึ่งเจ้าสาวและญาติได้ต้อนรับแขก พอถึงเวลาเข้าพิธี เจ้าบ่าวกลับไม่มา ติดต่อไปก็ไม่รับสาย จึงรู้ว่าถูกหลอกให้จัดงานแต่งแล้ว เจ้าสาวเสียใจอย่างมาก แต่ก็ต้องทนยืนรับแขกที่มาร่วมพิธีคนเดียว โดยไร้เงาเจ้าบ่าวจนเสร็จงาน ทั้งทุกข์ระทมใจเป็นอย่างมาก แม้งานจะจัดเสร็จไปโดยไร้เจ้าบ่าว โดยหลังงานเจ้าสาวและครอบครัวต้องเป็นหนี้เกือบ 300,000 บาท จากเงินที่นำมาใช้จัดงานทั้งหมด แม้เวลาจะล่วงเลยมา 2-3 วันแล้วก็ยังไร้เงาเจ้าบ่าวที่อ้างเป็นทหารมารับผิดชอบกับเรื่องนี้

จากนั้นผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปที่บ้านเลขที่บ้านเลขที่ 360 หมู่ 6 บ้านสระจาน ต.นาดี อ.นาดี จ.ปราจีนบุรี พบกับ น.ส.เอ ซึ่งยังคงอยู่ในอาการที่เหม่อลอย ทุกครั้งเมื่อกลับจากงานที่ทำมาอยู่บ้าน ซึ่งทางญาติเองก็ยังคงให้กำลังใจตลอด โดยทางครอบครัว น.ส.เอ ยังคงเก็บหลักฐานไว้ โดยเฉพาะดอกไม้ที่ประดับในพิธีรดน้ำสังข์ ป้ายชื่อ เจ้าบ่าว เจ้าสาว นอกจากนี้ที่บริเวณลานที่จัดสำหรับโต๊ะจีน เพื่อรองรับแขกที่มาร่วมงาน ยังมีร่องรอยให้เห็นว่ามีการจัดเลี้ยงแขกจริง หลังจากนั้นทาง น.ส.เอ ยังได้นำภาพถ่ายการจัดงานพิธีสมรส โดยไม่มีเจ้าบ่าวมาให้ผู้สื่อข่าวดู พร้อมกับบิลค่าใช้จ่ายต่างๆ รวมๆ แล้วเกือบ 300,000 บาท

จากการสอบถาม น.ส.เอ เปิดเผยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ว่า ตนกับแฟนหนุ่ม ที่อ้างตัวเป็นทหารยศจ่าสิบเอก ได้คบหาดูใจตั้งแต่เดือน ธ.ค. 64 โดยตลอดเวลาที่คบกัน เขาได้บอกกับตนว่าเขาเป็นทหารยศจ่าสิบเอก และยังอ้างว่าเป็นบอดี้การ์ดให้กับนักการเมืองท้องถิ่นในพื้นที่ ต.นาดี ด้วยบุคลิกการแต่งกาย และการพูดจา ตนจึงเชื่อแฟนหนุ่มว่าเป็นทหารจริง และเป็นบอดี้การ์ดของนักการเมืองท้องถิ่นจริง จึงไม่ได้สอบถามเพิ่มเติม ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันมา ชายคนดังกล่าวนั้นเป็นคนที่นิสัยดีเสมอต้นเสมอปลายเข้ากับคนที่บ้านพ่อแม่พี่น้องได้ดี โดยจะคอยทำอาหารกับข้าวภายในบ้านและดูแลทุกอย่างแทบจะทุกวัน โดยก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ทิ้งงานแต่งนั้น ทางแฟนของตนได้มาพูดคุย บอกว่าอยากจะขอแต่งงาน แต่เนื่องจากตนเคยแต่งงานมาแล้วครั้งหนึ่งจึงบอกกับแฟนของตนว่า ไม่ต้องจัดงานใหญ่ก็ได้เพราะว่าตนเคยแต่งงานมาแล้ว แต่ทางแฟนบอกว่า อยากได้งานใหญ่นิดนึง เพราะว่าตนเป็นทหาร และยังเป็นบอดี้การ์ดของนักการเมืองท้องถิ่น และมีบุคคลที่รู้จักใหญ่โตอีกหลายคน ตนจึงตามใจแฟนโดยไม่ได้ห้ามอะไร หลังจากนั้น ทางแฟนของตนก็ได้คุยกับพ่อแม่ โดยพ่อแม่ได้เรียกค่าสินสอดเป็นเงิน 200,000 บาท และทองคำหนัก 3 บาท เบื้องต้นทางแฟนของตนรับปากว่าไหวและจะหาเงินมาทันในงานวันแต่งแน่นอน โดยที่ตนเคยกำหนดงานไว้วันที่ 25 มี.ค.ที่ผ่านมา แต่ถ้าว่าเกิดการแพร่ระบาดอย่างหนักของโควิด-19 จึงไม่สามารถจัดงานได้ จึงได้เลื่อนมาจัดเป็นวันที่ 1 พ.ค. โดยที่แฟนของตนนั้นเป็นคนดำเนินการเรื่องการจัดดอกไม้ จัดซุ้มอาหารดนตรี เครื่องดื่มด้วยตนเอง

น.ส.เอ เผยต่อว่า พอถึงงานวันแต่ง เวลาประมาณ 02.00 น. แฟนของตนได้เก็บกระเป๋าแล้วบอกว่าจะไปนอนกับแม่ และญาติของตน ซึ่งได้มาจองรีสอร์ทไว้ใกล้เคียงกับบ้านของตน ส่วนตนนั้นต้องแต่งหน้าต่อ ตนจึงมอบเงินให้แฟนไว้ 20,000 บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายส่วนต่างๆ ในระหว่างงาน หลังจากนั้นตนก็แต่งตัวแต่งหน้าจนถึงเวลาประมาณ 06.00 น. หลานชายของตนได้มาบอกว่าน้ำแข็งในงานมาลงแล้วจะต้องจ่ายเงินสดเขา ตนจึงพยายามโทรฯหาแฟนตนว่าให้นำเงินมาจ่าย และมาแต่งหน้าแต่งตัวเพราะว่าอีกประมาณ 1 ชั่วโมง จะมีพิธีสงฆ์ แฟนของตนจึงรับปากว่ากำลังมา และเวลาประมาณ 07.00 น. ต้องเข้าสู่พิธีสงฆ์ตนจึงได้โทรฯหาแฟนตนอีกรอบ โดยแฟนตนได้บอกกลับมาว่า ตอนนี้มีปากเสียงเรื่องเงินสินสอดกับแม่ตนอยู่ขอเวลาหน่อย จะรีบเข้ามาให้ทันพิธี โดยหลังจากเวลาที่แฟนตนนัดแล้วตนก็โทรฯติดต่อแฟนหนุ่มไม่ได้อีกเลย ตนจึงคิดได้ทันทีว่าแฟนหนุ่มของตนนั้นได้หนีการแต่งงานไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตอนนั้นรู้สึกช็อกและเสียใจมาก แต่เนื่องด้วยทุกอย่างถูกจัดเตรียมไว้หมดแล้ว ตนจึงแข็งใจออกมาทำพิธี โดยการตักบาตรเพียงคนเดียว ทำพิธีทางสงฆ์เพียงคนเดียว และต้อนรับแขกเพื่อให้งานผ่านพ้นไปด้วยดี หลังจากเสร็จพิธีตนก็พยายามติดต่อไปยังแฟนของตนอีกครั้ง แต่ติดต่อไม่ได้ จึงได้ปรึกษากับครอบครัวและนำหลักฐานทั้งหมดเข้าแจ้งความบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน พร้อมให้เจ้าหน้าที่ติดตามตามหาแฟนของตนมารับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในงานทั้งหมด

“โดยตลอดเวลาที่คบกับแฟนมานั้น พยายามจะไปเที่ยวบ้านแฟนที่อ้างว่าอยู่ที่ จ.นครราชสีมา หลายครั้ง แต่เขาพยายามบ่ายเบี่ยงอ้างว่าญาติติดโควิด บางครั้งอ้างว่าแม่ติดโควิด และตลอดเวลาที่คบกันไม่เคยได้พูดคุยกับทางญาติหรือทางพ่อแม่เขาแม้แต่ครั้งเดียว ที่ออกมาเรียกร้องในวันนี้ไม่ได้เรียกร้องหาความรัก แต่เรียกร้องหาความรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในงานที่เกิดขึ้นของความเป็นลูกผู้ชายของเขา” เจ้าสาว กล่าว

ด้านนายสี (นามสมมุติ) อายุ 75 ปี ซึ่งเป็นบิดาของฝ่ายเจ้าสาว กล่าวว่า เห็นลูกสาวคบกับชายคนดังกล่าว โดยระหว่างที่คบหากันนั้น ตนเห็นว่าชายคนดังกล่าวมีนิสัยบุคลิกดี เสมอต้นเสมอปลาย ดูแลความเป็นอยู่ของคนในบ้านทั้งตนและทั้งญาติ และลูกสาวตนรักผู้ชายคนนี้มาก หลังจากนั้นชายคนดังกล่าวก็ได้มาสู่ขอลูกสาวตน แต่ช่วงนั้นตนยังเอะใจชายคนดังกล่าวว่า ทำไมไม่ให้ผู้หลักผู้ใหญ่พ่อแม่เข้ามาคุย แต่ทางชายคนดังกล่าวก็ได้อ้างว่าแม่และญาติป่วยไม่สามารถเดินทางมาได้ ตนเห็นว่าชายนั้นเป็นคนนิสัยดีก็เลยเรียกค่าสินสอดไปเป็นเงิน 200,000 บาท และทองหนัก 3 บาท ชายคนดังกล่าวรับปากและจะนำญาติพี่น้องพ่อแม่มาในงานวันแต่ง แต่ก็ไม่คิดว่าในวันงานนั้น ชายซึ่งเป็นเจ้าบ่าวจะทำแบบนี้กับครอบครัวตนและลูกสาวตนได้ จึงอยากให้ผู้ชายคนดังกล่าวนั้นกลับมารับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นทั้งหมด.