เมื่อวันที่ 10 พ.ค. ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีหมายเลขดำ อ.1033/2561 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 4 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.), น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก, นายภูวดล ทรงประเสริฐ, นายยุทธิยง ลิ้มเลิศวาที แนวร่วม พธม. และนายชิติพัทธ์ ลิ้มทองกุล น้องชายของนายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำ พธม. ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-5 ในความผิดฐานร่วมกันบุกรุก มั่วสุม สร้างความวุ่นวายในบ้านเมือง อั้งยี่ซ่องโจรฯ กรณีร่วมกันบุกยึดสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย (เอ็นบีที) ในช่วงการชุมนุมของ พธม. เพื่อขับไล่รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช เมื่อปี 2551

คำฟ้องโจทก์ระบุพฤติการณ์สรุปว่า เมื่อวันที่ 25-26 ส.ค. 51 จำเลยทั้งห้ากับพวก 85 คน ที่ศาลฎีกาพิพากษาลงโทษแล้ว ร่วมกันกระทำความผิดเป็นซ่องโจร มั่วสุมก่อการวุ่นวายขึ้นในบ้านเมืองโดยร่วมกันเดินขบวนในถนนสาธารณะจากบริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ และจากที่อื่นๆ โดยมีอาวุธปืน มีด ขวาน ไม้กอล์ฟ ไม้ท่อน หนังสติ๊ก ลูกเหล็ก แล้วร่วมกันบุกรุกเข้าไปในบริเวณและอาคารสำนักงานสถานีเอ็นบีที ทุบทำลายประตูหน้าต่าง ตัดสายไฟฟ้าตู้ควบคุมระบบไฟฟ้า ระบบโทรศัพท์ ระบบคอมพิวเตอร์ ระบบกล้องวงจรปิด ทำลายระบบส่งสัญญาณการออกอากาศวิทยุโทรทัศน์ และร่วมกันข่มขืนใจพนักงานไม่ให้ปฏิบัติหน้าที่ออกอากาศและกระจายเสียง และสั่งให้ออกไปจากอาคารสถานี โดยจำเลยทั้งห้าเป็นหัวหน้าและเป็นผู้มีหน้าที่สั่งการในการกระทำความผิด อันเป็นความผิดฐานร่วมกันเป็นซ่องโจร ฐานร่วมกันทำให้เกิดการวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง ฐานร่วมกันบุกรุก และฐานร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 210, 215, 309, 358, 364 และ 365 จำเลยทั้งห้าให้การปฏิเสธ และได้รับการประกันตัว

โดยคดีนี้ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาเมื่อวันที่ 12 ก.พ. 63 ว่าการกระทำของจำเลยทั้งห้าเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท พิพากษาให้ลงโทษบทหนักสุด ฐานร่วมกันบุกรุกในเวลากลางคืน ให้จำคุกนายสมเกียรติ จำเลยที่ 1 มีกำหนด 2 ปี จำคุก น.ส.อัญชะลี จำเลยที่ 2 นายภูวดล จำเลยที่ 3 นายยุทธิยง จำเลยที่ 4 และนายชิติพัทธ์ จำเลยที่ 5 คนละ 1 ปี โดยไม่รอลงอาญา

โดยนาย สมเกียรติ จำเลยที่ 1 ได้เสียชีวิตเมื่อช่วง พ.ย. 2564 ศาลจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ

ด้าน น.ส.อัญชลี และ นายยุทธิยง ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้มก่อนขึ้นฟังการพิจารณาคดี โดยทั้ง 2 ได้กล่าวถึงคดีนี้ว่าศาลชั้นต้นได้พิพากษาจำคุกคนละ 1 ปี โดยไม่รอลงอาญา เป็นคดีที่ต่างกรรมต่างวาระ และต่างเหตุการณ์ ซึ่งในวันดังกล่าวพวกเราอยู่ที่ด้านหน้าเอ็นบีที อยู่บนรถปราศรัย แต่เจ้าหน้าที่ได้ระบุว่า แม้จะอยู่ด้านหน้าก็มีส่วนร่วม ซึ่งตนเองก็น้อมรับคำพิพากษาและได้ประกันตัวออกมาเพื่อขออุทธรณ์ต่อ และยังมีอีกหลายคดีที่ได้ร่วมกันต่อสู้ชุมนุมาตั้งแต่ พธม.1 พธม.2 และ กปปส. ส่วนความมั่นใจและกำลังในในวันนี้ ก็ยังเป็นไปตามปกติ เพราะพวกเราขึ้นศาลกันบ่อยครั้งมาก พวกเราความเคารพในการพิจารณาของศาล

ต่อมา ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือแล้ว เห็นว่า พวกจำเลยกระทำผิดตามฟ้องจริง ที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษามานั้น ชอบแล้วอุทธรณ์จำเลยฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน

ทั้งนี้ พวกจำเลยอยู่ระหว่างยื่นประกันตัวและอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล.