เมื่อวันที่ 15 ส.ค. นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรค และประธาน ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการเปิดประชุมสภาฯ เพื่อพิจารณาเรื่องสำคัญๆ ว่า ตนได้เชิญ ส.ส.ประชาธิปัตย์ ประชุมในวันที่ 17 ส.ค.นี้ เวลา 13.30 น. เพื่อเตรียมความพร้อมในการประชุมสภาฯ ตั้งแต่สัปดาห์หน้าเป็นต้นไป ซึ่งมีเรื่องสำคัญที่จะเข้าสู่การพิจารณาในสภาหลายเรื่อง เริ่มตั้งแต่การพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2565 ซึ่งจะเป็นการพิจารณาเนื้อหาสาระที่คณะกรรมาธิการฯได้พิจารณามาแล้ว ก่อนลงมติให้ความเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบต่อไป ซึ่งที่ผ่านมาคณะกรรมาธิการฯและคณะอนุกรรมาธิการฯในสัดส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ได้ทำหน้าที่อย่างเต็มกำลังความสามารถเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชน

นายองอาจ กล่าวต่อว่า หลังจากนั้นสภาฯจะพิจารณาเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งในส่วนของพรรคได้แสดงจุดยืนชัดเจนมาตั้งแต่ต้นถึงความตั้งใจที่จะผลักดันให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้มีความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น ถึงแม้ช่วงเวลาที่ผ่านมา การแก้ไขรัฐธรรมนูญจะไม่ได้เป็นไปอย่างที่เราต้องการทั้งหมด เนื่องจากข้อจำกัดหลายประการ โดยเฉพาะการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะเกิดขึ้นได้ต้องมีความเห็นพ้องต้องกันทั้งจากฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้าน และสมาชิกวุฒิสภาจำนวนหนึ่งตามเกณฑ์ที่รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันกำหนดไว้ แต่เราก็ได้พยายามอย่างถึงที่สุด ถึงแม้จะแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับไม่ได้ เราก็พยายามเสนอแก้รายมาตราในประเด็นที่คำนึงถึงประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก ในที่สุดจะแก้ได้หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับว่าจะแสดงความเห็นพ้องต้องกันของฝ่ายต่างๆ ได้มากน้อยแค่ไหน ทั้งนี้ ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ ขอยืนยันว่าได้แสดงออกถึงการกระทำให้เกิดการแก้รัฐธรรมนูญอย่างเต็มกำลังตลอดมา

นายองอาจ กล่าวอีกว่า เรื่องสำคัญอีกเรื่องที่จะต้องพิจารณาในสภาฯ คือการอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้าน ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์มองว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นกระบวนการปกติของการทำงานในระบบรัฐสภา ที่ฝ่ายบริหารต้องพร้อมรับการตรวจสอบจากฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายค้าน รัฐมนตรีของพรรคก็พร้อมจะให้ตรวจสอบและเชื่อมั่นว่ารัฐมนตรีทุกคนทำงานโดยยึดประโยชน์ของประชาชนส่วนรวมเป็นหลัก จึงไม่รู้สึกหวั่นไหวถ้ามีรายชื่อถูกอภิปรายและพร้อมจะชี้แจงข้อมูลที่ถูกต้องให้สภาฯ และสาธารณชนรับทราบได้อย่างแน่นอน ถึงแม้ขณะนี้จะมีสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างรุนแรงในประเทศไทย ซึ่ง ส.ส.ของพรรคประชาธิปัตย์ได้ทำหน้าที่ดูแลทุกข์สุขของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 อย่างเต็มที่ต่อเนื่องตลอดมาควบคู่ไปกับการทำหน้าที่ในสภา ก็ทำหน้าที่อย่างเต็มที่เพื่อประโยชน์ของประชาชนตลอดไป.