ตอนนั้นผมมีอาการยิ่งใกล้ยิ่งเจ็บ ประสบพบเจอแบบเจ็บปวด แต่เมื่อถึงเวลาทำงานกะกลางคืนก็ต้องไปทำ ยามกลางวันปวดร้าวเหมือนป่วยเป็นไข้ใจเพ้อรำพันอย่างไรก็ไม่หาย พอกลางคืนอากาศปลอดโปร่ง จึงเดินทางไปทำงานตระเวนข่าว
แล้วก็รับแจ้งวอ.วิทยุสื่อสารออกข้อความสั้น ๆ ว่า พบ
ชาวต่างชาติเสียชีวิตริมทางรถไฟ แล้วก็เงียบไป แต่หูคนนะบางทีก็ไว้ใจได้กว่าหัวใจ จึงสอบถามเช็กกับแหล่งข่าว จึงรู้ที่มาที่ไปของเรื่อง และสถานที่จุดเกิดเหตุ เลยเดินทางไปพร้อมกับนักข่าวฉบับอื่น ๆ กัน
เมื่อไปถึงค้นหาจุดเกิดเหตุสักพัก กว่าจะเจอริมทางรถไฟ รถจอดปากซอย เราเดินเท้าผ่านความมืดเข้าไป ตอนนั้นมันไม่ได้มืดเท่ากับความมืดบอดในจิตใจผม
เมื่อไปถึงทางรถไฟ เราก็มองลงไปข้างล่าง พบเป็นบ่อบำบัดน้ำเสียขนาดใหญ่ ตำรวจมากันหลายสิบคน ทั้งท้องที่ และหน่วยงานอื่น ๆ เพราะเป็นชาวต่างชาติ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับชาวต่างชาติจึงต้องเดินทางมา เพื่อรวบรวมเรื่องราวรายงานผู้บังคับบัญชา
เราไม่ได้รับอนุญาตให้ลงไปข้างล่างบ่อบำบัด ด้วยเหตุผลง่าย ๆ ว่าเขาห้าม จึงไม่รู้จะทำอะไร รวบรวมเรื่องราวอยู่ข้างบน เคียงจ่ากับหมู่นายหนึ่ง ที่มาอยู่กับเราเพื่อคุมไม่ให้เราลงไปรบกวนการสืบสวน
แต่นักข่าวก็คือนักข่าว อยู่ที่ไหน แม้เพียงเรื่องเล็กน้อยหากประกอบเรื่องราวเป็น ก็สามารถเขียนเป็นข่าวได้ เรารู้ว่าชาวต่างชาติคนดังกล่าวตัดสินใจโดดบ่อบำบัดน้ำเสียเพื่อจบชีวิต มีพนักงานกรุงเทพมหานครมาทำงาน แล้วเห็นศพ จึงแจ้งตำรวจ เจ้าหน้าที่มูลนิธิยังต้องรออยู่ข้างบน แต่เขาจะเป็นคนที่ลงไปพบศพก่อนเรา
ริมทางรถไฟนั้น
มีบ้านไม้สังกะสีอยู่หลังหนึ่ง ความยาวไม่มาก ความกว้างไม่เยอะ เป็นบ้านสร้างง่าย ๆ เหมือนเราวาดรูปบ้านคนในวิชาศิลปะอย่างลวก ๆ สังกะสีประกอบต่อกันอย่างไม่ได้สัดส่วน
แต่มันคือบ้านจริง ๆ ที่มีคนอาศัยอยู่
เสียงไอจากคนในบ้าน เรารู้ได้ว่ามีคนชรานอนติดเตียง ประตูสังกะสีเปิดออกอย่างไม่มีวันปิด มันอ้าออกตลอดเวลา ได้
เห็นคนในบ้าน 4 ชีวิต คนชราชายนอนไอติดเตียง หญิงชราเลี้ยงหลานวัยกำลังซน โดยมีหญิงสาวคนหนึ่งพึ่งกลับจากการทำงาน
พวกเขา
4 ชีวิตอยู่ในบ้านหลังเล็ก ๆ นี้ หรือเราควรจะเรียกมันว่าบ้านได้เหรอ บ้านควรจะมีความสุข ตามคำนิยามอันสวยหรู หรืออะไร
ที่ซุกหัวนอนได้ มันก็ควรเป็นบ้านทั้งนั้น
เรามีเวลาดูพวกเขาอยู่นาน นอกจากการรอคอยการทำข่าวอันแสนเบื่อหน่าย เราก็ดูชีวิตในบ้านหลังนั้น นาน ๆ
เด็กชายวัยกำลังซนจะออกมาถามว่าเกิดอะไรขึ้น ตำรวจจะยิ้มอย่างเอ็นดู เช่นเดียวกับพวกเรา ก่อนจะบอกให้ไปนอนได้แล้ว พรุ่งนี้ไม่ไปโรงเรียนเหรอ
ไม่มีคำตอบจากเด็กคนนั้น นอกจากความอยากรู้อยากเห็นตามประสาเด็กทุกคนบนโลกนี้
ไม่นานหญิงสาวเดินออกจากบ้าน สอบถามว่าเกิดอะไรขึ้น ใครสักคนเล่าให้ฟัง หล่อนมีแววตาตื่นตกใจเล็กน้อย แต่เพียงแค่นั้น แล้วก็เดินกลับไปเล่าให้คนในบ้านฟัง
เราคิดแล้ว จึงรู้ว่า
ทำไมเธอถึงต้องออกมาถามบ่อย ก็เพราะบ้านริมทางรถไฟนั้น
มันก่อสร้างผิดกฎหมาย เธอเห็นตำรวจกลัวยิ่งกว่าคนตาย แต่พยายามเก็บอาการ ส่งเด็กมาถาม เมื่อไม่ได้ความ จึงออกมาถามเอง เมื่อรับรู้เรื่องราวแล้วก็โล่งใจ กลับไปนอนในบ้านสังกะสีเล็ก ๆ นี้
กินเวลาเกือบ 3 ชั่วโมง กว่าตำรวจจะสอบสวน เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานจะตรวจสอบ แพทย์ระบุเวลาตายได้
เจ้าหน้าที่มูลนิธิลงไปห่อศพ เราขี้เกียจลงไปแล้ว ยืนถ่ายภาพจากข้างบน แสงแฟลชทำงานพร้อมเสียงไอแบบเอาเป็นเอาตายของชายในบ้านสังกะสีประกอบฉาก
กล้องถ่ายรูปไม่สามารถเก็บเสียงได้ แต่แสงแฟลชสาดก้อง ทำให้ภาพคนแบกศพซึ่งห่อในผ้าสีขาวชัดเจนและมันยังทำให้บ้านสังกะสีหลังนั้นสว่างวาบด้วย
เด็กคนนั้นโผล่ออกจากบ้าน พร้อมแววตาสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น เสียงของคนชราบอก ให้เข้ามานอน ไม่งั้นจะโดนตี เด็กจึงหลบตัวเข้าไปในบ้าน
คืนนั้นอากาศไม่ร้อนมาก แต่ยุงก็เยอะ เราออกจากที่เกิดเหตุขึ้นรถตระเวนแล้วออกไป แอร์ในรถเย็นฉ่ำ คืนนั้นยังก้องอยู่ในความทรงจำ
ทำไมประเทศเราถึงแตกต่างกันขนาดนี้ ขณะที่ครอบครัวหนึ่งอยู่กินสบาย อีกครอบครัวกลับต้องหาเลี้ยงชีพอย่างยากลำบาก
หากเราจะเรียกที่ตรงนั้นว่าบ้าน มันเหมาะจะเป็นบ้านได้เหรอ
ผมคิดแล้วปล่อยผ่านมันออกไป ตอนนั้นไม่มีอะไรน่าสนใจเท่ากับเรื่องหัวใจอีกแล้ว มองย้อนกลับไป รู้สึกว่าตัวเองเห็นแก่ตัวชะมัด
ผ่านไปหลายปี เพลงซาอุดรดังขึ้นแล้วจับใจ
ท่ามกลางวิกฤตโควิด-19 แล้วคงมีวิกฤตเศรษฐกิจสังคมอีกมากตามมา ผมคิดถึงบ้านสังกะสีหลังนั้น พวกเขาจะเป็นอย่างไร
ว่าแล้วเสียงไอของชายชราก็ดังขึ้นมาอย่างชัดก้อง ราวกับผมกลับไปอยู่ตรงนั้นอีกครา
................................
คอลัมน์ :
หนอนโรงพัก
โดย
"ณัฐกมล ไชยสุวรรณ"
ขอบคุณภาพประกอบจาก : Pixabay