ในที่สุดก็เรียบร้อยโรงเรียน
“บิ๊กป้อม” ไปแล้ว ตั้งแต่วันเสาร์ที่ 27มิ.ย.ที่ผ่านมา เมื่อ
“พลเอกประวิตร วงศ์สุวรรณ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐจับมือ
“สองมิตร” สุมศักดิ์ เทพสุทิน”-สุริยะ จึงรุงเรืองกิจ” ยึด
“พรรคพลังประชารัฐ” แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด รอบนี้ดันให้
“ลุงป้อม” เจ้าของพรรคตัวจริงทวงพรรคคืนสำเร็จ นั่งเก้าอี้หัวหน้าพรรคตัวจริงเสียงจริงหลังจากปล่อยให้หุ่นเชิดนั่งแล้วไม่ได้ดั่งใจ พร้อมควงแขน
“เสี่ยแฮงค์ ” อนุชา นาคาศัย “ตัวแทนสองมิตรนั่งตำแหน่งแม่บ้านในฐานะเลขาธิการพรรค และไม่มีชื่อ
“4กุมาร” อุตตม-สนธิรัตน์-สุวิทย์-กอบศักดิ์”เป็นกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่อีกต่อไป
ปรากฏการณ์ชุลมุนฝุ่นตลบที่เกิดขึ้นในพรรคแกนนำรัฐบาลวันนี้ออกจะหนักไปทาง
“โอลด์ นอร์มอล” แบบถอยหลังลงคลองหลายสิบปีสวนทาง
กับบรรยากาศความเป็นไปทางเศรษฐกิจที่โดนวิกฤติโรคระบาดโควิด-19 โถมกระหน่ำซ้ำเติม อย่างหนักหน่วงถึงขั้นที่เรียกว่า
“เผาจริง” ดัชนีสะท้อนจากคนกำลังจะตกงานเพิ่มขึ้นเรื่อยๆเนื่องจากภาคทะยอยปิดกิจการเนื่องจากธุรกิจสายป่านขาดคาดว่าอาจจะมีคนตกงานถึง 8 ล้านคน บัณฑิตย์จบใหม่ 5-4 แสนคนต้องเตะฝุ่น “หนี้ครัวเรือน”ที่พอกหางหมูมาตั้งแต่ก่อนโควิด-19 ระบาด สูงแตะๆ 80% ของจีดีพี.ถึงตอนนี้น่าจะทะลุเพดานไปแล้ว
แต่ระเบิดเวลาที่น่าห่วงที่สุดเมื่อมีคนที่ไม่ได้ชำระหนี้ 3-6 เดือนตาม “นโยบายพักชำระหนี้”ของรัฐบาลและแบงก์ชาติ มากถึง 15 ล้านคน นับเป็นมูลหนี้ 6.7-6.8ล้านล้านบาท หรือคือประมาณ 1ใน3 ของหนี้ทั้งหมดของระบบธนาคารในบ้านเรา ซึ่งเดือนตุลาคมจะครบกำหนด คาดว่าในนี้จะมีหนี้เสียหรือ NPL ราวๆ 7-8% ระเบิดเวลาลูกใหญ่ขนาดนี้ยังไม่รู้ว่ารัฐบาลจะหาวิถีจะถอดสลักอย่างไร
กลับมามองในแง่การหา”รายได้”เข้าประเทศตอนนี้ก็ต้องรอไปก่อน เพราะบรรดา เครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจของโลกทุกวันนี้ ไม่ว่าอเมริกา จีน ญี่ปุ่น หรือกลุ่มประเทศเกิดใหม่อย่างอินเดีย บราซิล กระทั่งกลุ่มประเทศในยุโรป เกือบจะเรียกว่า
“เครื่องยนต์ดับสนิท” ไม่เหลือแม้แต่เครื่องเดียวที่จะมีกำลังพอจะชักลากเศรฐกิจให้ขยับเขยื้อนได้บ้าง ก็คงจะเหลือแต่
“เครื่องยนต์เมดอินไทยแลนด์” การลงทุนโดยภาครัฐ โดยเฉพาะเงินกู้ 4แสนล้านที่ใช้สำหรับฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังวิกฤติโควิด-19และงบลงทุนในปี 64 ที่มีราว 6ล้านล้านบาทว่าจะมีพลังพอกระตุ้นเศรษฐกิจได้หรือไม่
แต่ถ้าการลงทุนภาครัฐด้วยเม็ดเงินขนาด 1ล้านล้านบาทไม่ได้ผลอย่างที่หลายคนวิตกกังวล ก็จะไม่จูงใจให้เกิดการลงทุนในภาคเอกชนตามมา ถ้าเป็นเช่นนี้เท่ากับว่า เครื่องยนต์ที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจทุกตัวเดี้ยงเกือบหมด โอกาสที่สร้างรายได้มาทดแทนการส่งออกและการท่องเที่ยวที่ปั๊มเงินจากนักท่องเที่ยวต่างประเทศเพื่อสร้างรายได้เข้าประเทศมาโดยตลอด ก็คงริบหรี่
เหนือสิ่งใด เวลานี้คงต้องหันมาพึ่งการท่องเที่ยวในประเทศและทำมาค้าขายกันเองไปพลางๆ ล่าสุดรัฐบาลก็เพิ่งอัดงบฯ 2.2 หมื่นล้านหว่านเงินปลุกท่องเที่ยวในประเทศโครงการไทยเที่ยวไทย 3 แพ็กเก็จมีสารพัดรูปแบบ ทั้งให้เที่ยวฟรี-ช่วยจ่ายค่าโรงแรม ที่พัก-ตั๋วเครื่องบิน 40% มีเอ็กซ์ตร้าให้จ่ายในร้านอาหาร-สถานที่ท่องเที่ยว คาดสร้างรายได้ทั้งทางตรง-ทางอ้อม 7 หมื่นล้านบาทแต่จะเป็นจริงดังฝันหรือไม่ก็คงต้องคอยดูกันต่อไป
ภายใต้สภาวะที่ การเมือง ยังคงเป็น โอลด์ นอร์มอล แต่ เศรษฐกิจที่กำลังจะลอกคราบเป็นนิวนอร์มอลยังเดินขากะเผลกๆ อย่างนี้จึงเป็นอะไรที่น่าสนใจอย่างยิ่ง ลำพังโฉมหน้าครม.และ
“ทีมเศรษฐกิจชุดนี้” ไม่รู้ว่าจะรับมือวิกฤติเศรษฐกิจหลังควิด-19 ไหวหรือไม่ ถ้าการจัดขบวนทัพ
“ครม.ชุดใหม่” ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้สามารถก้าวข้าม โอลด์ นอร์มอล ทางการเมืองไปได้ เอาคนมีความรู้ความสามารถมาช่วยกู้เศรษฐกิจได้อย่างสอดคล้องกลมกลืนกันจริงๆ ก็ต้องถือว่า โชคดี แต่ถ้าปรับครม.เที่ยวนี้รูปร่างหน้าตาออกมาออกไปทางอัปลักษณ์อย่างที่เป็นข่าวก็แทบไม่ต้องคาดเดาชะตากรรมว่าอนาคตประเทศจะไปในทิศทางใด
เศรษฐกิจและการเมือง หลังวิกฤติโควิด-19 จะเป็นเช่นไร จะนำบ้านเมืองฝ่าวิกฤติหรือจะยิ่งพาลงเหว คงต้องจับตาดูต่อไปอย่าได้กระพริบตาด้วยประการทั้งปวง
.................................................
คอลัมน์ : เศรษฐศาสตร์ข้างทาง
โดย “ทวี มีเงิน”