ช่วงนี้ปรากฏการณ์ที่เรียกว่า
“แฟลชม็อบ” ลุกลามไปทั่ว ซึ่งก็ไม่รู้แน่ชัดว่า มันปลุกติดขึ้นจากอะไร แต่มันเริ่มแรงขึ้นหลังจากเกิ
ดกรณี
“วีไอพี” ทำให้คนไทยผวาว่าจะเกิดการลุ
กลามของโควิดที่ จ.ระยองและที่ย่านนานาก็ส่วนหนึ่
ง เรื่องความน่าสมเพชของการแย่
งชามข้าวรัฐมนตรีในพรรคแกนนำรั
ฐบาลก็ส่วนหนึ่งที่มันฟ้องว่า ไอ้คำว่า
“เราจะทำตามสัญญา ขอเวลาอีกไม่นาน แล้วแผ่นดินที่งดงามจะคืนกลับมา” แท้จริงแล้วมันก็ทำไม่ได้ทั้งเพ
บางคนเขาก็ว่าเป็นเพราะปั
ญหาการอุ้มหายนายวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นผู้ต้องหาไม่
ไปตามหมายเรียก คสช.และเป็นผู้ต้องหาคดี พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ เขาเชื่อกันว่า “รัฐบาลอยู่เบื้องหลัง” ทั้งที่ทางฝั่งรัฐบาลเองก็
ออกมาปฏิเสธ มีการตั้งข้อสังเกตว่านายวั
นเฉลิมมีปัญหากับ “ขาใหญ่”ในกัมพูชาเกี่ยวกั
บการค้ากัญชาหรือเปล่า แล้วก็มีการติดต่อประสานงานไปยั
งกัมพูชาแล้ว แต่ก็ตามตัวยากเพราะเหมือนว่
านายวันเฉลิม
“อยู่เลยเวลา”
แต่เอาเป็นว่า ไม่ว่าฟางเส้นไหนจะทำให้ลาหลั
งหักก็ตาม แฟลชม็อบก็เกลื่อนเมือง และมันกลายเป็นความน่าสนใจของสื่
อนานาประเทศ ที่การประท้วงของประเทศไทยดูมี
อารมณ์ขัน ( อย่างที่เขาบอกว่าเผด็จการเกลี
ยดกลัวอารมณ์ขันมาก เพราะจะจัดการให้เด็ดขาดก็ไม่
ได้) เช่นเรื่องการเอาเพลงแฮมทาโร่
มาร้องในม็อบ การจัดม็อบเลียนแบบแฮร์รี่ พอตเตอร์ การชูสามนิ้วเป็นสัญลักษณ์เลี
ยนแบบหนังเรื่อง hunger game จัดม็อบเสร็จแยกย้าย
ตอนนี้แฟลชม็อบก็ลามไปสู่
การแสดงสัญลักษณ์ของเด็กมั
ธยมในโรงเรียน มีการแสดงการชูสามนิ้วระหว่
างการเข้าแถวก่อนเข้าเรียน ในยุคโซเชียลมีเดียแบ่งบานเช่
นนี้ที่น่ากลัวคือข่าวลือข่
าวปล่อยออกมาเยอะ และมันทั้งเป็นคุณต่อม็อบ และเป็นปัญหาต่อม็อบให้เกิ
ดการปะทะระหว่างรุ่น โดยข่าวเหล่านี้ส่วนมากเป็นข่
าวประเภท “เขาว่า” ที่เอามาโหมกระพือในอินเทอร์เน็ต โดยเฉพาะทวิตเตอร์ที่ใช้ระบบติ
ดแฮชแท็กให้คนเข้าไปอ่าน
แล้วก็มียูสเซอร์ประเภทหน้าสั
ตว์ หน้าตุ๊กตา ออกมาเล่าประสบการณ์ที่ได้เป็น
“ขบถ” ประเภทว่า โรงเรียนห้ามถึงขนาดใช้ความรุ
นแรงกับเด็กบ้าง หรือบางที่ เด็กๆ หลายคนถูกกดดันโดยรุ่นพี่ใหญ่
กว่าให้แสดงสัญลักษณ์ด้วย ความเป็นสัตว์สังคมของมนุษย์
ทำให้บางทีเขาก็ไม่กล้าปฏิเสธ แต่เมื่อไรที่เกิดกระแสอึ
งอลในอินเทอร์เน็ตทำนองนี้ขึ้นมา ก็ต้องไล่แก้ข่าวกันทีเหมื
อนกรณีโรงเรียนที่สุราษฎร์ธานี ที่ครูต้องออกมาแก้ข่าวว่าไม่
ได้ทำร้ายเด็กเหมือนภาพนิ่งที่
แชร์กัน
กลายเป็นโจทย์ใหญ่ของนายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รมว.ศึกษาธิการไปแล้ว ที่จะต้องหาทางประนี
ประนอมรอมชอมกับการเคลื่
อนไหวของเด็กให้ได้ ซึ่งจริงๆ ก็ตั้งความหวังกับ “รมว.ตั้น”ได้ เพราะศรีภรรยาคือนางทยา ทีปสุวรรณ ก็ได้ชื่อว่าเป็นนักการศึกษา บริหารโรงเรียนศรีวิกรม์มาก่อน รมว.ตั้นเขาเลยต้องใช้วิธี
ออกหนังสือให้เด็
กสามารถแสดงออกถึงจุดยืนหรือสั
ญลักษณ์ทางการเมืองได้ เพื่อลดปัญหาการแสดงออกนอกรั้
วโรงเรียนและมีความรุนแรง
ก็ย้อนกลับไปที่ว่า เมื่อมีกระแสในอินเทอร์เน็ตขึ้
นมา ก็มีข่าว
“เขาว่า” มาโจมตีกลุ่มเด็กที่
เคลื่อนไหวว่าจริงๆ ไม่ใช่การขบถต่อการเปลี่
ยนแปลงอะไรทั้งนั้น เพียงแค่ต้องการแหกกฎระเบียบวิ
นัยที่โรงเรียนมี เช่น ทรงผม เครื่องแบบนักเรียน การเปิดปิดรั้วโรงเรียน เพื่อให้มันมีเสรีภาพมากขึ้น และก็มีคนเอาข้อเรียกร้
องประเภทไม่น่าจะรับได้ ซึ่งไม่รู้จริงหรือเปล่ามาโจมตี
ว่าเด็กก็จะเอา ประเภทขอให้มีการขายบัตรคอนเสิ
ร์ตเกาหลีราคาถูกกับเด็ก
โลกอินเทอร์เน็ตมันทำให้การสื่
อสารสับสนอลหม่านไปหมด ชนิดที่คำว่า
“ชัวร์ก่อนแชร์” ก็ชักจะมึนๆ เหมือนกันว่าอะไรจริงอะไรปลอมกั
นแน่ ซึ่งเมื่อถึงจุดหนึ่งที่เราไม่
สามารถเชื่อได้ว่า ข้อเรียกร้องไหนดี ข้อเรียกร้องไหนจริง จะเกิดภาวะ “ขดลวดแห่งความเงียบ” คือเลิกสนใจแชร์กันเพราะกลัวเป็
นการ “ดักควาย”กันเสียอย่างนั้น หรือไม่ก็เกิดผลสะท้อนกลับคื
อความขัดแย้งระหว่างรุ่น ที่ผู้ใหญ่กับเด็กปะทะทางความคิ
ดกันหนักขึ้น เพราะต่างก็ยึดอัตตา
ฝ่ายผู้ใหญ่บางกลุ่มอุดมการณ์
ทางการเมือง เขาก็บอกว่า
“เด็กๆ ควรจะเรียนหนังสือไม่ควรยุ่งการเมือง” ซึ่งความหมายก็คือในการเมืองมั
นมีอะไรที่ลึกลับซับซ้อนอยู่เกิ
นกว่าการออกมาเรียกร้องยื่นข้
อต่อรอง เด็กๆ อาจยังไม่เดียงสากับเรื่องเหล่
านี้ก็ขอให้
“รู้ให้ถ่องแท้แน่นอนก่อน” จึงจะร่วมเคลื่อนไหวแสดงสัญลั
กษณ์ได้อย่างเป็นแนวร่วมที่มีคุ
ณภาพ และพังเพยที่ผู้ใหญ่กลุ่มนี้
ชอบใช้คือ
“เขาเป็นพวกอาบน้ำร้อนมาก่อน”
ขณะเดียวกันเด็กยุคนี้ก็ไม่เหมื
อนยุคก่อนเพราะความที่สื่อเสรี เด็กเลือกหาเสพสื่ออินเทอร์
เน็ตได้ไม่หวาดไม่ไหว ในทวิตเตอร์ก็ดูตามแฮชแท็กเอา หรือไม่ระบบอัลกอริทึมของเฟซบุ๊
กก็เลือกการนำเสนอว่า
“เด็กน่าจะถูกใจสิ่งนี้” แต่การบริโภคสื่อด้านเดียว มุมเดียวจะไม่ทำให้เห็
นภาพรวมของปรากฏการณ์ทั้งหมด ดังนั้นเรื่องการรู้เท่าทันสื่อ การตรวจสอบและคานเนื้อหาสองฝ่าย (check and balance ) ควรจะเป็นหลักสูตรสอนเด็กตั้
งแต่ ม.ต้นได้แล้ว
ความที่เด็กระดับมหาวิทยาลั
ยออกมามากขึ้น และมีแกนนำโดนจับ ทำให้เด็กมัธยมเห็น
“ภาพฝันของการต่อสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงไปสู่วันที่ดีกว่า” และทำให้เกิดความฮึกเหิมต่
อการเป็นขบถ ก็ร่วมขบวนการกับเขาด้วย และสำหรับผู้ใหญ่ที่อ้างว่า
“อาบน้ำร้อนมาก่อน” ก็โดนเด็
กถอนหงอกเอาว่า “อาบน้ำร้อนมาก่อนหรือถูกต้
มมาแล้วจนเปื่อย” เสียอย่างนั้น ที่ผู้ใหญ่เหล่านี้เงียบ ปล่อยให้รัฐบาลบริ
หารไปแบบอยากซื้ออะไรก็ซื้อ อยากทำอะไรก็ทำ ไม่เห็นหัวประชาชน
ภาพของรัฐบาลขณะนี้คื
อความพยายามรอมชอมอย่างเต็มที่ รัฐบาลไม่ขวางเพราะฝ่ายความมั่
นคงเกรงว่า การออกมาจะนำไปสู่การเคลื่
อนไหวที่เยาวชนใช้ความรุ
นแรงแบบฮ่องกงโมเดล ที่คนรุ่นใหม่ลุกขึ้นมาต่อต้
านรัฐบาลจีนเพื่อแยกประเทศให้
ได้ เพราะเห็นว่า เพื่ออิสรภาพ เสรีภาพ ความเป็นอยู่ที่ดีกว่าที่จะต้
องอยู่ภายใต้ประเทศคอมมิวนิสต์ รมว.ตั้นเองก็ลงมารับฟังความเห็
นเด็กและยอมรับว่า บางเรื่องเป็นสิ่งที่น่าทำ เช่นเด็กเรียกร้องปฏิรูปการศึ
กษา
สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจว่า เด็กๆ ควรจะเรียกร้องเป็นปากเสี
ยงนอกจากเรื่องปฏิรูปการศึกษา คือเรื่อง “ยกเลิกการรับน้อง” เพราะไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกันที่
เด็กเข้ามหาวิทยาลัยใหม่
หลายคนต้องสมยอมกับระบบนี้ทั้
งที่มันคือการใช้ความรุ
นแรงแบบรุ่นสู่รุ่น มหาวิทยาลัยที่ขึ้นชื่อก็เช่
น แม่โจ้ ศิลปากร หรือมหาวิทยาลัยราชภัฏต่างๆ ที่เห็นมีเสียงลือเสียงเล่าอ้
างกันว่าเดี๋ยวเรียกรับน้อง เดี๋ยวเรียกซ้อมเชียร์จนไม่ต้
องเรียนกัน บางทีรุ่นพี่ก็ตั้งกฎบ้าๆ บอๆ วางอำนาจใส่
แล้วก็ทำท่าใหญ่โตเสียเต็
มประดาว่า
“ถ้าเรื่องแค่นี้ทนไม่ได้แล้วจะใช้ชีวิตในสังคมทำงานได้อย่างไร” ซึ่งอีคนพูดก็แก่กว่าหรือเผลอๆ อายุเท่ากันกับรุ่นน้องนั่นแหละ เอาเข้าจริง เรื่องนี้ รมว.การอุดมศึกษาฯ ก็ควรมีท่าทีออกมาในเชิ
งคาดโทษไปเลยว่าถ้ามี บุคลากรด้านกิจการนิสิตนักศึ
กษาต้องรับผิดชอบโดยการลาออก หรือไม่ก็ถ้าชอบแบบอารมณ์ขั
นตามม็อบ ก็จัดฝ่ายบุคคลบริษัทต่างๆ มาว้ากอีพวกปีสามปีสี่ให้รู้
รสความโหดของจริงดีกว่ามโนเอา
นี่เท่าที่ดูกระแสมาเหมือนกับว่
า ข้อเรียกร้องของเด็กที่
ประกาศออกมาชัดเจนยังไม่มีเรื่
องนี้ ทำไมเมื่อยอมรับรัฐบาลไม่ได้ แต่กลับสมาทาน..สมยอมกับระบบที่
ใครก็ไม่รู้มาทำอำนาจบาตรใหญ่
ใส่โดยที่ไม่ได้มีประโยชน์ใดๆ ล่าสุดก็เกิดเหตุการณ์สะเทื
อนใจเมื่อมีการซ้อมเชียร์ (มันก็คือการรับน้องรูปแบบหนึ่
งนั่นแหละ) แล้วบังคับให้นักศึกษาสาวราชภั
ฏภูเก็ตรายหนึ่งที่เต้นไม่ได้ต้
องถูกวิ่งทำโทษจนขาดใจตาย
ฝ่ายรุ่นพี่ที่เคยอำนาจบาตรใหญ่
ก็กลายสภาพเป็นหมาหางจุกตูดกั
นไปหมด ไม่ออกมารับแมนๆ ว่าตัวเองสั่งทำเอง อาศัยอ้างความเป็นเยาวชนปกป้
องตัวเอง ซึ่งคดีนี้ต้องขอให้พ่อของผู้
เสียหายอย่ายอม และรุ่นพี่ต้องแสดงสปิริต เมื่อกล้าทำอะไรก็ต้องกล้ารับ คนไหนเกิน 20ปีแล้วกล้าเปิดหน้าขอโทษต่อสั
งคม ต่อครอบครัวผู้เสียหายไหม ? เรื่องแบบนี้เป็นปัญหาแทบจะทุ
กปี เมื่อเรามีกระทรวงการอุดมศึกษาฯแล้
วก็ช่วยมาจัดการ และเด็กเองก็ควรหัดขบถต่อระบบนี้
ด้วย
ไหนๆ คิดจะรื้อสร้างวินัย ก็หยิบปัญหาทั้งระบบขึ้นมา ศึกษา แล้วพูดถึงมันอย่างคนมีความรู้ ไม่ใช่แค่กระแส.
..............................................
คอลัมน์ : ที่เห็นและเป็นอยู่
โดย “บุหงาตันหยง”