
ส่องเกมรุกก้าวไกลเปิดศึกรบในสภา
เรียกว่าเป็นตำบลกระสุนตกสำหรับพรรคก้าวไกลในช่วงที่ผ่านมา จากเหตุ สส.หื่น จนทำให้บทบาทการทำงานในหน้าที่ของฝ่ายค้านสะดุดไปบ้าง เพราะถูกขั้วตรงข้ามจ้องตรวจสอบ
เรียกว่าเป็นตำบลกระสุนตกสำหรับพรรคก้าวไกลในช่วงที่ผ่านมา จากเหตุ สส.หื่น จนทำให้บทบาทการทำงานในหน้าที่ของฝ่ายค้านสะดุดไปบ้าง เพราะถูกขั้วตรงข้ามจ้องตรวจสอบ
จากการเป็นพรรคการเมืองที่เคยยิ่งใหญ่ แต่ด้วยสารพัดปัญหาเรื้อรังภายในพรรค บวกกับความพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งใหญ่ ทำให้“พรรคประชาธิปัตย์” กลายเป็นพรรคที่เสียงแผ่วเบาแทบจะเงียบกริบทั้งในและนอกสภา แถมยังขาดผู้นำคนใหม่มาทำหน้าที่กอบกู้ฟื้นฟูบรรดาบาดแผลที่แสนสาหัส
“เป็นความเสี่ยงที่นายเศรษฐา ถ้าทำเรื่องนี้ไม่สำเร็จ การสนับสนุน ความนิยมทางการเมืองและต่างๆ จะลดลง แล้วอาจมีอะไรตามมาในทางการเมืองมากระทบนายเศรษฐาโดยตรง”
จากคำสั่งของ “เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ให้ไปศึกษาความเหมาะสมและแนวทาง ในการปรับค่าแรงขั้นต่ำ และการปรับอัตราเงินเดือนสำหรับกลุ่มข้าราชการพลเรือนและเจ้าหน้าที่ แม้ทิศทางจะยังไม่สะเด็ดน้ำแต่สังคมตั้งคำถามด้วยความตื่นตัว ตื่นตระหนกกันไปแล้วว่า เหมาะสมกับสถานการณ์หรือไม่
สดๆ ร้อนๆ กับการปรับทัพพลิกโฉม รีฟอร์มพรรคเพื่อไทยใหม่ ด้วยการเปลี่ยนกรรมการบริหาร(กก.บห.)พรรคเพื่อไทย ชู“อุ๊งอิ๊ง” น.ส. แพทองธาร ชินวัตร ขึ้นเป็นหัวหน้าพรรค พท. คนใหม่
เรียกว่าเป็นฤดูมรสุมของ “พรรคก้าวไกล” หลังเกิดประเด็น สส.และสมาชิกพรรคถูกร้องเรียนปมคุกคามทางเพศถี่ยิบ ในระหว่างที่กำลังเริ่มต้นบทบาทพรรคแกนนำฝ่ายค้านในสภาที่ต้องตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลอย่างเข้มข้น แต่ต้องมาสะดุดเอากับเรื่องฉาวปนคาว และทำให้เสียรังวัดพรรคอันดับหนึ่งที่ชนะเลือกตั้งมาไม่ใช่น้อย
สงครามในอิสราเอลทำให้ต้องกลับมาพิจารณาใหม่เรื่องความปลอดภัยของแรงงานที่ส่งไปทำงานต่างประเทศมากขึ้น ต้องดูว่านายจ้างหรือรัฐบาลมีการเตรียมความพร้อมในการดูแลความปลอดภัยแรงงานไทยมากแค่ไหน
จุดกระแสเดือดประเด็นร้อนขึ้นมาทันที เมื่อพรรคก้าวไกล ยื่นร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม แก่บุคคล ซึ่งได้กระทำความผิด อันเนื่องมาจากเหตุการณ์ความขัดแย้งให้ ระบุว่า ทำเพื่อประชาชน แต่ถูกมองว่าไม่แตกต่างจากครั้งหนึ่งที่พรรคเพื่อไทยดัน พ.รบ.นิรโทษกรรมสุดซอย
เริ่มเดินเครื่องกันแล้วสำหรับการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับปี 60 หลังจากที่พรรคเพื่อไทยได้นำไปเป็นหนึ่งประเด็นในการหาเสียง หากได้มาเป็นรัฐบาลจะต้องมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญทันที และเมื่อได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล จึงเดินหน้าทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชน ซึ่งขณะนี้ก็เป็นรูปเป็นร่างได้ตั้งคณะกรรมการ ศึกษาแนวทางการทำประชามติและแนวทางร่างรัฐธรรมนูญ
“คือไม่ได้เป็นฝ่ายค้านที่ทำหน้าที่เป็นเงาที่ตามไล่บี้รัฐบาล หรือวิจารณ์สิ่งที่รัฐบาลทำอย่างเดียว แต่พยายามจะเป็นฝ่ายค้านที่เป็นแสงในการนำทางหรือยื่นขอเสนอแนะให้กับรัฐบาล”
กระทรวงพาณิชย์ในยุคของภูมิธรรม เวชยชัย จะทำงานอย่างสมาร์ท สามารถที่จะก้าวทันโลกได้ สามารถขยายฐานสินค้า และสามารถขยายตลาดได้กว้างขวางขึ้น
แถลงนโยบายรัฐบาลต่อที่ประชุมรัฐสภาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สำหรับคณะรัฐมนตรี ชุดใหม่ ครม.เศรษฐา 1 “คอลัมน์ตรวจการบ้าน” จึงต้องมาสนทนากับ ชาดา ไทยเศรษฐ์ รมช.มหาดไทย “รัฐมนตรีสายล่อฟ้า” อีกคนหนึ่งที่มีบทบาทสำคัญและเป็นคนที่ถูกจับตามองถึงบทบาท ในการเข้ามาทำหน้าที่ในกระทรวงมหาดไทย กับภาพลักษณ์ฉายา “เจ้าพ่อลุ่มน้ำสะแกกรัง” ที่ติดตัวมา จะบริหารบ้านเมืองไปให้ทิศทางใดในการบำบัดทุกข์บำรุงสุขประชาชน
ค่อนข้างจะเป็นที่เซอร์ไพร้ส์ของสังคม และเป็นที่เซอร์ไพร้ส์ในวงการทหาร เมื่อมีพลเรือเข้ามาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
เป็นอันชัดเจนกับหน้าตา “ครม.เศรษฐา 1” ภายใต้การนำของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ที่สังคมมีการวิพากษ์วิจารณ์ถึงความเหมาะสม จะสามารถพาประเทศขับเคลื่อนไปข้างหน้าจนครบเทอมได้หรือไม่นั้น “คอลัมน์ตรวจการบ้าน” จึงต้องมาสนทนากับ ดร.สติธร ธนานิธิโชติ ผู้อำนวยการสำนักนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตย วิเคราะห์ถึงการจัดสรรโควตารัฐมนตรีที่ไปลงกระทรวงต่างๆ พรรคเพื่อไทย เสียเปรียบทางการเมืองหรือไม่
ได้เห็นโฉมหน้าแล้วสำหรับนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย นั่นคือ “เสี่ยนิด” เศรษฐา ทวีสิน จากพรรคเพื่อไทย ด้วยการผสมพันธุ์ข้ามขั้วรัฐบาล 314 เสียงจาก 11 พรรคการเมืองที่ได้รับเสียงหนุนจาก สว.อย่างท่วมท้น ขณะที่พรรคก้าวไกล ซึ่งชนะเลือกตั้งอันดับ 1 ประกาศถอยเป็นฝ่ายค้าน