ถือเป็นอีกผลงานที่สาวกทีมสโมสรฟุตบอลระดับโลก “ลิเวอร์พูล (Liverpool)” เจ้าของฉายา “หงส์แดง” ต้องไม่พลาด สำหรับภาพยนตร์สารคดี “ดิ เอนด์ ออฟ เดอะ สตอร์ม (The End of The Storm)” ที่มาพร้อมบรรยากาศเต็มอิ่มไปด้วยรอยยิ้ม และคราบน้ำตา กับการก้าวสู่ชัยชนะครั้งประวัติศาสตร์ ที่เหล่า “เดอะ ค็อป” รอคอยมาตลอด 30 ปี ด้วยการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกในฤกาล 2019/20 ซึ่งหนทางกว่าจะถึงเส้นชัยนั้น กลายเป็นความท้าทายครั้งใหญ่ เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ส่งผลไปทั่วโลก อย่างวิกฤติการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ที่ถือเป็นมรสุมลูกยักษ์ทำให้วงการกีฬาทั่วโลกหยุดชะงัก แต่ความฝัน ความทุ่มเท จิตใจอันเข้มแข็ง และความเป็นหนึ่งเดียวกันของทีม “ลิเวอร์พูล” ที่ไม่หมดหวัง จึงกลับมาขึ้นสู่ความยิ่งใหญ่ได้อีกครั้ง
งานนี้ได้ เจมส์ เออร์สคีน ผู้กำกับฝีมือดี ที่เคยทำสารคดีเรื่องดังมาแล้วหลายเรื่อง ซึ่งเขาทุ่มเทล้วงลึก “หัวใจ” ของผู้คนมากมาย งานของเขาคือการฉายเบื้องหน้าแห่งความสำเร็จ ไปพร้อมกับเจาะลึกเบื้องหลังของ “ชีวิต” ที่ไม่เคยมีใครรู้ และครั้งนี้ เจมส์ เออร์สคีน จะมาถ่ายทอดทุกโมเม้นต์สำคัญและจิตวิญญาณของ “ลิเวอร์พูล” ลงจอภาพยนตร์ให้แฟน ๆ ได้ดู วันนี้ “มูฟวี่โซน” ไม่พลาดนำเรื่องราวสุดเอ็กซ์คลูซีฟนี้ รวมถึงบทสัมภาษณ์ของ เจมส์ เออร์สคีน มาฝากแฟน ๆ กัน
สำหรับภาพยนตร์ “The End of The Storm” บอกเล่าทุกเหตุการณ์สำคัญ ทั้งเสียงยินดีจากความสำเร็จ ช่วงเวลาฝ่ามรสุมจนคว้าแชมป์ สัมผัสความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวของทีม และที่พิเศษสุดคือภาพเบื้องหลังของสโมสร “ลิเวอร์พูล” ที่ไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อน! ไม่ว่าจะเป็นฟุตเทจพิเศษ ที่ “ลิเวอร์พูล” ไม่เคยอนุญาตให้ใครถ่ายทำ พร้อมสัมภาษณ์แบบเจาะลึกทั้ง ผู้จัดการทีม เจอร์เกน คลอปป์ ผู้เป็นมันสมอง จอมอัจฉริยะด้านการวางแผน และการคุมทีมในฤดูกาลสุดโหด และ เคนนี่ ดัลกลิช ตำนานสโมสร
รวมทั้งเปิดใจนักเตะดาวดังชุดแชมป์พรีเมียร์ลีกแบบเอ็กซ์คลูซีฟ อาทิ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, ซาดิโอ มาเน, โรแบร์โต ฟีร์มิโน, เฟอร์กิล ฟาน ไดค์, โมฮาเหม็ด ซาลาห์ และ อลิสซอน เบ็คเกอร์ เป็นต้น ที่จะมาเล่าถึงความฝัน ความมุ่งมั่น พร้อมพาทีมที่รัก ผ่านเหตุการณ์ที่ย่ำแย่ เพื่อลุกขึ้นใหม่และแข็งแกร่งกว่าเดิม รวมทั้งทำความฝันของแฟน ๆ ให้สมหวัง แม้ต้องฝ่ามรสุมมากมาย และยังพูดถึงความรู้สึกที่มีต่อพลังสนับสนุนจากเหล่าแฟน “ลิเวอร์พูล” ที่เป็นแรงขับเคลื่อนด้วย
เจมส์ เออร์สคีน PHOTO : Tim Cragg
โดย เจมส์ เออร์สคีน ได้ให้เปิดใจผ่าน “Irishnews.com” ถึงการมาทำสารคดีครั้งนี้ โดยเริ่มจากความสำเร็จของ “ดิส อิส ฟุตบอล (This Is Football)” ซึ่งเป็นภาพยนตร์สารคดี 6 ตอน ที่ เจมส์ เป็นผู้กำกับ ซึ่งเขาได้เจาะลึกลงไปถึงพลังแห่งอารมณ์ของกีฬา เขาเล่าว่า “เราติดตามแฟนบอลของทีมลิเวอร์พูล 3 คน ในเมืองคิกาลี ประเทศรวันดา และใช้พวกเขาในการสำรวจว่าฟุตบอลนั้นเป็นยังไง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือการเชื่อมโยงพวกเขากับสโมสรฟุตบอลหนึ่ง ปล่อยให้พวกเขาได้สร้างชีวิตและครอบครัวขึ้นมาใหม่ หลังการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ซึ่งนั่นทำให้เรื่องนี้ชนะหลายรางวัล และยังกระทบกระเทือนอารมณ์ได้อย่างยอดเยี่ยม รวมถึงยังได้เห็นลำดับชั้นของสโมสรด้วย และเมื่อผู้จัดการทีม เจอร์เกน คลอปป์ ได้มาดูเรื่องนี้ เขาก็ตื้นตันใจมาก ดังนั้นเราจึงได้รับเชิญให้เข้ามาและดูว่า มีภาพยนตร์เรื่องอื่น ๆ ที่เราอยากทำเกี่ยวกับทีมลิเวอร์พูลอีกบ้างมั้ย”
การสำรวจตรวจค้นพลังขับเคลื่อนที่เป็นเอกลักษณ์ ระหว่างฝ่ายบริหารจัดการและผู้เล่น มักถูกจัดให้เป็นส่วนแก่นเรื่องของเรื่องราวสโมสรเสมอ ซึ่งชื่อเสียงด้านทัศนคติในแบบพูดตรง ๆ ของผู้จัดการทีม อย่าง เจอร์เกน คลอปป์ นั้นสามารถสร้างบรรยากาศได้ทั้งในและนอกห้องแต่งตัว เจมส์ เออร์สคีน บอกว่า “ผมคิดว่าเจอร์เกนมักพูดเสมอว่ามันเป็นความรับผิดชอบของผู้เล่น แต่ผมคิดว่ามันเห็นได้ชัดเลยว่าคลอปป์นั้นต้องใช้เครดิตอย่างมหาศาลเลย กว่า 5 ปีที่เขาสร้างทีมขึ้นมาในแบบที่เขาต้องการให้เล่น ด้านเทคนิคของเขานั้นชัดเจนมาก และผมก็คิดว่าเขายังสามารถใช้จิตวิทยาในการสนับสนุนนักเตะของเขาอีกด้วย อาจเป็นไปได้ว่าเขาไม่เหมือนโค้ชคนอื่น ๆ ผมคิดว่าเขาสามารถเข้าไปในหัวเหล่านี้ผู้เล่นได้”

PHOTO : www.thisisanfield.com
นอกจากนี้ เจมส์ เออร์สคีน ยังพูดถึงสิ่งที่น่าสนใจในภาพยนตร์เรื่องนี้อีกคือ การใช้ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน เล่าเรื่องราวค่อนข้างมาก เฮนเดอร์สัน มีช่วงเวลาที่ตกต่ำมาก ๆ ทั้งที่เขามีพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยม และเมื่อคุณเข้าใจภาพยนตร์ถึงวิธีที่ เจอร์เกน ได้จัดการดึงเอาศักยภาพสูงสุดจาก จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ทั้งในฐานะผู้เล่นและตัวบุคคลออกมาได้ โดยการยอมรับในแบบที่เป็นตัวนักเตะเอง นั่นคุณจะเริ่มเข้าใจถึงความทรงพลัง
สำหรับ “The End of The Storm” ถ่ายทำให้ช่วงพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2019/20 โดยที่ไม่มีอะไรการันตีเลยว่าพวกเขาจะคว้าแชมป์ได้หรือเปล่า มากกว่านั้นมันกลายเป็นปีที่วงการกีฬาทั่วโลกหยุดชะงัก จากการระบาดของไวรัสโควิด-19 และแผนการถ่ายทำต้องรื้อใหม่หมด โดยไม่รู้ว่าจะถ่ายให้จบยังไง มันจึงเต็มไปด้วยภาพเบื้องหลังที่ยากจะคาดเดา ท่ามกลางวิกฤติมีเพียงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว ความเชื่อมั่น และความอัจฉริยะด้านการวางแผนของทีม “ลิเวอร์พูล” การรอคอยตลอด 30 ปี ที่แฟน ๆ นั้นได้เห็นทีมรักของพวกเขาชูถ้วยแชมป์ลีกอีกครั้ง มันจึงเหมือนเป็นการบันทึกปรากฏการณ์ความสำเร็จของสโมสรฟุตบอล “ลิเวอร์พูล” เลยก็ว่าได้
เจมส์ เออร์สคีน เผยว่า “พลังขับเคลื่อนด้วยอิทธิพลของคลอปป์ในสโมสร และวิธีที่เขาได้สร้างฐานแฟนคลับที่เหนียวแน่นนับแต่ที่เขาเข้ามาที่นี่คือจุดเริ่มต้น ต่อจากนั้นเรื่องของการแพร่ระบาดก็เริ่มเข้ามา และนั่นทำให้เรื่องราวสะท้อนถึงสิ่งเหล่านั้นได้อย่างลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น”
ผลกระทบจากการแพร่ระบาดไม่เคยเป็นปัจจัยของผู้กำกับคนดัง หรือเป็นสิ่งที่ทีมงานของเขาจะคาดเดาเอาไว้ “มันรู้สึกอยู่เสมอ แบบ ‘เรามีความกังวล แม้ว่าเราจะพูดกันว่าเรากำลังสร้างภาพยนตร์เกี่ยวกับพวกเราเองนะ หากเราพูดแบบนั้นเดี๋ยวมันอาจทำให้เป็นโชคร้ายได้ แต่นั่นคือความวิตกกังวลอย่างแท้จริงภายในสโมสร และแน่นอนว่าความจริงก็คือมันเป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาจะไม่ได้ตำแหน่งแชมป์พรีมียร์ชิพ แต่แล้วการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส ก็เกิดขึ้น” ผู้กำกับคนดัง เผย
ผลกระทบของโควิด-19 ที่ไม่อยากให้เกิดเลย ทั้งในพรีเมียร์ลีกและการถ่ายทำนั้นมีเยอะมาก รวมไปถึงการที่นักเตะระดับแถวหน้า พบว่าตัวเองติดไวรัสโควิด “คุณต้องจดจำเอาไว้ว่าพวกเขาเหล่านี้คือนักกีฬาระดับซูเปอร์สตาร์ ที่ต้องพึ่งพาโชคเอามาก ๆ พวกเขาเหมือนอยู่ในฟองสบู่สำหรับพรีเมียร์ลีก และหากนักเตะเหล่านี้ติดโควิดขึ้นมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงจบซีซั่น นั่นอาจเป็นหายนะทางเศรษฐกิจสำหรับสโมสรได้เลย มันเป็นเรื่องสากลทั่วไปสำหรับการแพร่ระบาดของไวรัส มันเป็นตัววัดระดับที่ยิ่งใหญ่มาก ดังนั้นมากยิ่งไปกว่าการแบ่งระหว่างแฟนคลับและนักกีฬาซูเปอร์สตาร์ นั่นคือทุกคนกำลังประสบในสิ่งเดียวกัน หากคุณไม่สามารถไปทำงานได้ หากสมาชิกในครอบครัวของคุณป่วย นั่นเป็นเรื่องที่เป็นสากล และนั่นก็เป็นสิ่งน่าสนใจที่ภาพยนตร์สามารถถ่ายทอดออกมาได้ ท้ายที่สุดแล้วเมื่อคุณลองตัดเรื่องเหลวไหลออกไป จริง ๆ แล้วนักเตะเหล่านี้ ก็เป็นเพียงแฟน ๆ ที่มาพร้อมสุดยอดความสามารถพิเศษ” เจมส์ เออร์สคีน เปิดใจ
ทั้งนี้ เจมส์ เออร์สคีน ยืนยันว่าภาพยนตร์สารคดีเรื่องนี้ ไม่ได้ดึงดูดความสนใจเฉพาะกลุ่มแฟนพันธุ์แท้ของ “ลิเวอร์พูล” เท่านั้น เขาเผยว่า “มันยอดเยี่ยมมากหากว่าคุณเป็นแฟนคลับของทีมลิเวอร์พูล แต่ผมคิดว่าสิ่งได้แสดงให้เห็นผ่านทางทีมลิเวอร์พูลนั้น มีทั้งคุณค่าของกีฬาที่ขยายกว้างมากยิ่งขึ้น ความตื่นเต้น และความหมายที่กีฬาจะสามารถมอบให้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามที่เราไม่ได้รับความสุขจากสิ่งอื่น หัวใจของมันคือมันเรื่องราวที่น่าเหลือเชื่อ แต่จริง ๆ แล้วมันยังเกี่ยวกับคุณค่าทางอารมณ์ที่เราสามารถได้จากการดูกีฬา รวมทั้งการดูกับครอบครัวของเรา คุณพ่อกับลูกชาย หรือคุณพ่อกับลูกสาว ทั้งหมดนั้นก็ล้วนสำคัญพอ ๆ กับพิเศษแท้จริงของสโมสรแห่งนี้ครับ”
รวมทั้งยังมีมุมมองที่น่าสนใจเพิ่มเติมอีก คือ เจมส์ เออร์สคีน ไม่มีความเกี่ยวโยงใด ๆ กับ “ลิเวอร์พูล” เลย “ผมเชียร์ทีม แมนฯ ซิตี้ครับ ผมโตมาในเมืองแมนเชสเตอร์ แต่บางครั้งหากคุณได้สร้างบางสิ่งขึ้นมาจากภายนอก คุณก็สามารถที่จะถ่ายทอดความเป็นจริงบางอย่างที่จริงมากกว่า หากต้องมาแบกภาระด้วยน้ำหนักของแฟนด้อมตัวคุณเองนะ” ผู้กำกับคนดังเผย
นอกจากนี้ยังมีเหตุผลอีกมากมาย ที่ทำให้เห็นว่าไม่ใช่แฟนหงส์ ก็เข้ามาดูเรื่องนี้ได้ ทั้ง “พลังของคำว่าทีม” เพราะในภาพยนตร์สารคดีเรื่องนี้ ไม่ได้มีแค่การสัมภาษณ์ผู้จัดการทีม หรือนักเตะดาวเด่น แต่ยังสัมภาษณ์แฟน ๆ ผู้คลั่งไคล้ทีม “ลิเวอร์พูล” จากทั่วโลก ซึ่งผู้คนมากมายต่างแชร์ความรักที่มีต่อทีม พวกเขารวมตัวกันจนเหมือนเป็นครอบครัว พร้อมทำให้เห็นว่าพลังของความเป็นทีมช่วยเยียวยาบาดแผลในใจ
“แตกต่างจากหนังฟุตบอลทั่วไป” เนื่องจากผู้กำกับตั้งใจทำให้หนังเรื่องนี้ไม่เหมือนหนังฟุตบอลทั่วไป พวกเขาเลยเข้าไปคลุกคลีกับกลุ่มนักเตะ มากกว่าแค่ตั้งกล้องสัมภาษณ์ผิวเผิน เจาะลึกทุกตำแหน่งในทีม ดึงเอาความสำคัญของทุกฟันเฟือง ทุกคนที่มีส่วนทำให้ “ลิเวอร์พูล” คว้าแชมป์ครั้งประวัติศาสตร์นี้
ปิดท้ายที่ “อินไปกับเพลง You’ll Never Walk Alone” ซึ่งเราจะได้ดูสารคดีคุณภาพ ไปพร้อมกับเพลงซึ้ง ๆ ซึ่งจะเป็นเวอร์ชั่นพิเศษ โดยศิลปินดัง ลาน่า เดล เรย์ ซึ่งเธอเป็นแฟนตัวยงทีม “ลิเวอร์พูล” ถือเป็นอีกหนึ่งไฮไลต์ที่อยากให้ทั้งคนที่รักหนัง และคนที่รักเพลง มาซึบซับบรรยากาศนี้ไปด้วยกันด้วย
เตรียมตัวให้พร้อม แล้วไปร่วมฉลองชัยชนะแห่งประวัติศาสตร์ของ “ลิเวอร์พูล” อีกครั้ง ใน “ดิ เอนด์ ออฟ เดอะ สตอร์ม” เข้าฉายวันที่ 28 ม.ค นี้ ในโรงภาพยนตร์