จากกรณีโซเชี่ยล​ได้มีการเผยแพร่ภาพวงจรปิด ขณะชายสูงวัยกำลังกดเงินที่ตู้ ATM ก่อนถูกชายวัยรุ่นสวมเสื้อสีน้ำเงิน นุ่งกางเกงยีนส์ หลอกสอนทำธุรกรรมขณะกดเงินสด ก่อนดูรหัสและขโมยบัตร เหตุเกิดที่ตู้เอทีเอ็ม ย่านบางรัก เมื่อวันที่ 15 มี.ค.ที่ผ่านมาสูญเงินกว่า 42,500 บาท ตามที่ปรากฏเหตุการณ์ไปแล้วนั้น

เกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 6 พ.ค. นายไกร ซาบุ อายุ 60 ปี อดีตพนักงานรักษาความปลอดภัย ซึ่งเป็นผู้เสียหายได้เปิดเผยว่า ตนเองทำงานเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยมายาวนานกว่า 20 ปี ได้เงินจากการเกษียณที่ผ่านมา เมื่อวันที่ 15 มี.ค. ได้เดินทางไปกดเงินที่ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาบางรัก ตั้งจะกดเงินสดจำนวน 20,000 บาท ซึ่งได้กดครั้งที่หนึ่งในจำนวน 10,000 บาท และกดเงินอีกครั้งในครั้งที่สองจำนวน 5,000 บาท และจะกดเงินในครั้งที่สามอีกจำนวน 5,000 บาท แต่เหมือนเครื่องของธนาคารมีปัญหา ระหว่างนั้นมีชายวัยรุ่นได้เดินปรี่เข้ามาแทรกด้านหลังทำท่าเหมือนจะช่วยเหลือ และวัยรุ่นบอกกับตนว่าบัตรคาอยู่ในตู้เอทีเอ็ม เพียงไม่นานวัยรุ่นคนดังกล่าวนั้นก็ได้เดินออกไปจากตู้เอทีเอ็มทันที ตนเองจึงเดินไปแจ้งเจ้าหน้าที่ธนาคาร ให้ดำเนินการให้เนื่องจากบัตรติดค้างอยู่ หลังจากเจ้าหน้าที่ธนาคารมาตรวจสอบ พบว่าบัตรไม่ได้ถูกตู้ดูดไปและตรวจสอบดูแล้วก็ไม่พบบัตรเอทีเอ็ม ต่อมาวันรุ่งขึ้น16 มี.ค. ตนเองก็เดินทางมาที่ธนาคารอีกครั้ง และทราบว่าเงินของตนเองหายไปจำนวนทั้งสิ้น 42,500 บาท โดยมีการทำธุรกรรมด้วยบัตรเอทีเอ็ม 4 ครั้ง

นายไกร เปิดเผยอีกว่า ยอมรับว่าเงินก้อนนี้คือเงินก้อนสุดท้ายของชีวิต เป็นเงินเกษียณอายุจากการทำงาน บริษัทรักษาความปลอดภัย กว่า 20 ปี และปัจจุบันตอนนี้ตนเองก็ไม่ได้ทำงานแล้ว ส่วนตัวอยากได้เงินคืนถ้าหากไม่ได้เงินคืนก็อยากจะให้เจ้าหน้าที่ตำรวจตามจับคนร้ายให้ได้ มารับโทษทางกฏหมาย เพราะมิเช่นนั้นเขาก็จะทำแบบนี้กับคนอื่นอีก

ด้าน นางพิมลแข ซาบุ อายุ 46 ปี ภรรยาผู้เสียหาย เปิดเผยว่าหลังเกิดเหตุได้แจ้งความที่สน.ยานนาวาเมื่อวันที่ 17 มี.ค. หลังจากนั้นได้มีการเรียกพยาน คือธนาคารไทยพาณิชย์ สาขา บางรัก เพื่อเข้ามาให้ข้อมูลกับเจาหน้าที่ตำรวจ แต่เมื่อผ่านมา 2 เดือนแล้ว ทางธนาคารไม่มีชี้แจงอะไรให้กับทางสามีตนรู้เลย ไม่ว่าจะผู้ก่อเหตุเป็นใคร วิธีการนำเงินออก กดเงินหรือโอนเงิน ไปยังบัญชีไหน แจ้งแค่เพียงว่าอยู่ในขั้นตอนการยื่นเรื่องไปยังสาขาใหญ่ ซึ่งตนเองพยายามตามเรื่องในเกือบทุกอาทิตย์ ก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย

นางพิมลแข เปิดเผยอีกว่าล่าสุดเมื่อวันที่ 5 พ.ค. ตนเองเดินทางไปยัง สน.ยานนาวา เข้าพบเจ้าหน้าที่ตำรวจ และได้ทราบข้อมูลว่า ทางธนาคารไทยพาณิชย์ ระบุว่า จะต้องรอเอกสารประมาณ 1 เดือนหลังจากนี้ ซึ่งตนเองก็ส่งข้อมูลไปทั้งหมดแล้ว และขณะนี้คงอยู่ในขั้นตอนตามหาว่าบุคคลดังกล่าวมีการโอนเงินไปยังบัญชีปลายทางใด ตนรู้สึกกังวลเรื่องความคืบหน้ามาก เพราะเวลาผ่านมานานก็ยังไม่มีวี่แววใดเลย เกือบจะ 2 เดือนแล้ว ค่อนข้างเครียดเป็นอย่างมาก เนื่องจากตนเองก็ไม่ได้มีฐานะร่ำรวยอะไร หลังจากนี้คงต้องระมัดระวังตัวให้มากยิ่งขึ้น อยากได้รับเงินคืนและอยากให้ตามหาตัวคนร้ายให้ได้โดยเร็ว.