นายวรวุฒิ อุ่นใจ รองหัวหน้าพรรคกล้าและประธานทีมเศรษฐกิจ ในฐานะอดีตประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย กล่าวบรรยายในงาน “มหกรรมกัญชาทางการแพทย์สุขภาพที่ 6” ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี จ.จันทบุรี ถึงแนวทางการทำตลาดกัญชาเพื่อคนตัวเล็ก ว่า กัญชาถือเป็นโอกาสทางธุรกิจที่ใหญ่มากต่อประเทศไทย ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา กัญชามาแรงมาก บริษัทไหนออกข่าวว่าจะทำธุรกิจเกี่ยวกับกัญชาหุ้นขึ้นทุกตัว ซึ่งเป็นสัญญาณชัดเจนว่าตลาดคาดหวังกับธุรกิจกัญชามาก สำหรับประเทศไทยมีจุดแข็งเรื่องการผลิตอาหารและยาสมุนไพร เนื่องจากมีวัตถุดิบ ทรัพยากรมากมายทั้งผลไม้ พืชผัก อาหารการกินบ้านเราไม่แพ้ชาติใดในโลก แต่เกษตรกรซึ่งมีจำนวนมากถึง 1 ใน 3 ของประชากรประเทศกลับยังยากจน รายได้ภาคการเกษตรเพียง 8% ทั้งที่ควรจะเป็น 35% ตามจำนวนเกษตรกรของประเทศ

อดีตประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย กล่าวด้วยว่า การสร้างเศรษฐกิจให้กับ กัญชา-กัญชง หากได้รับการจัดการอย่างถูกต้อง จะทำรายได้อย่างมหาศาล สิ่งที่จะต้องทำคือ ปรับจูนสภาพแวดล้อมทางธุรกิจให้เหมาะสมและเอื้อต่อการทำธุรกิจ ภาครัฐต้องเข้ามาสนับสนุน ตั้งแต่ระดับต้นน้ำคือ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในการพัฒนาเมล็ดพันธุ์และการเพาะปลูก ระดับกลางน้ำ คือ กระทรวงอุตสาหกรรม ในเรื่องการสกัดและการแปรรูปเพิ่มมูลค่า และระดับปลายน้ำ คือ กระทรวงพานิชย์ ในการจัดจำหน่าย หาตลาดทั้งในและต่างประเทศ โดยทั้งสายน้ำ ต้องพึ่งพาข้อมูลและการวิจัยทางการตลาดอย่างเข้มข้น

“แต่ในทางการตลาด ผมมองว่า ต้องเอาปลายน้ำขึ้นมาก่อน คือเอาลูกค้าเป็นหลักว่าเป็นใคร ปริมาณความต้องการมีจำนวนเท่าไร ทั้งในและต่างประเทศ จากนั้นจึงกลับไปที่ต้นน้ำ เพื่อวางแผนการเพาะปลูก ให้สอดคล้องกับความต้องการ และถึงจะไปที่กลางน้ำคือกระทรวงอุตสาหกรรม วางแผนการแปรรูปผลผลิต ปัจจุบันการทำงานระหว่างกระทรวงยังเป็นปัญหา ด้วยระบบโครงสร้างการบริหารงานที่ไม่เอื้อ ดังนั้น ผมขอเสนอตั้งสถาบันวิจัยอาหารและยา เพื่อเปิดโอกาสให้นักวิจัยสามารถค้นค้นแปรรูปอะไรดีๆ แล้วจดลิขสิทธิ์ ผู้ผลิตรายไหนเอาผลงานไปใช้ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมเป็นต่อจำนวนการผลิต นักวิจัยก็จะรวย ไม่ใช่วิจัยเสร็จแล้วขึ้นหิ้ง ไม่มีใครเอาไปต่อยอด นายทุนไม่สนใจ แต่ถ้าเราเปิดโอกาสให้ใครก็ได้มาใช้งานวิจัยที่รัฐรวบรวมไว้ รัฐก็จะสามารถเก็บภาษีและไลเซนซ์ได้มหาศาล เรื่องแบบนี้รัฐต้องเปลี่ยนวิธีคิด และเข้าใจระบบกลไกธุรกิจหรือบิสิเนสโมเดลใหม่ ไม่ใช่เป็นระบบราชการแบบเก่าที่ไม่เอื้อต่อการพัฒนา นอกจากนี้ ประเทศไทยยังควรมีนิคมอุตสาหกรรมกัญชง กัญชา ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี แลกเปลี่ยนเทคโนโลยี เหมือนที่หลายประเทศเขาทำกัน เพื่อการเติบโตที่ยั่งยืน” นายวรวุฒิ กล่าว

อย่างไรก็ตาม นายวรวุฒิ กล่าวว่า ข้อจำกัดที่ใหญ่หลวงมากของธุรกิจนี้ คือกฎหมายและกฎระเบียบทางราชการ รัฐต้องเปิดโอกาสและไม่ปิดกั้น ไม่เอื้อเฉพาะทุนใหญ่หรือผู้มีอิทธิพล และต้องปลดล็อกปัญหาตั้งแต่ต้นน้ำ คือต้องหาดีมานด์ให้ได้ก่อนว่ามีเท่าไหร่ ตลาดในประเทศต้องการกี่เปอร์เซ็นต์ ตลาดต่างประเทศกี่เปอร์เซ็นต์ จะปลูกที่ไหนโดยใคร และอย่างไร ระบบโลจิสติกส์เป็นอย่างไร จะส่งเสริมการปลูกไม่ให้เกิดความเหลื่อมล้ำได้อย่างไร การวิจัยและพัฒนา เรื่องกัญชงกัญชา จะไปทางไหนอย่างไร ต่อมาคือปัญหาของกลางน้ำ ต้องดูว่าจะสกัดและแปรรูปทำอะไรได้บ้าง ยา อาหารเครื่องดื่ม แฟชั่นสิ่งทอ หรือเพื่อคลายเครียด การส่งเสริมจากภาครัฐ มีอะไรบ้างตั้งแต่ตั้งโรงงานที่ไหน ทำอะไรบ้างนิคมอุตสาหกรรมกัญชากัญชง มีได้หรือไม่จะผลิตอย่างไรให้ถูกและดี มีดีไซน์ และถูกกฎกติกาของประเทศลูกค้า สุดท้ายคือปัญหาของปลายน้ำ ต้องดูว่า มีข้อมูลของตลาดทั้งในและต่างประเทศหรือไม่ ตลาดไทยจะเน้นการบริโภคแนวไหน ตลาดต่างประเทศจะไปแนวไหน มีแผนพัฒนาและสร้างตลาดหรือไม่ หน่วยงานวิจัยและพัฒนาตลาดต้องมีบทบาท กฎหมายและกติกาการบริโภคต้องชัดเจน

ขณะเดียวกัน นอกจาก 3 กระทรวงหลัก ตามที่ได้กล่าวข้างต้นแล้ว เรื่องของกัญชง กัญชา กระทรวงสาธารณสุข เข้ามามีบทบาทอย่างมาก ถามว่าวันนี้ ได้คุยกันบ้างหรือยังว่าจะวางแผนต่อยอดให้กัญชง กัญชา เติบโตไปอย่างไร เพื่อไม่ได้เอื้อเฉพาะทุนใหญ่ แล้วเกษตรกรคนตัวเล็กไม่มีโอกาสในการเจริญเติบโต เวลานี้ก็มีเค้าลางจะซ้ำรอยแบบเดิม จุดอ่อนของบ้านเราคือ รัฐมนตรีแต่ละกระทรวงมาจากคนละพรรค ทำให้การทำงานไม่สอดประสาน และไม่ได้รับการผลักดันอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการช่วยเหลือเกษตรกร ชาวสวน ชาวไร่ ชาวนา ไม่สามารถลืมตาอ้าปากได้ ทั้งที่วัตถุดิบ ผลผลิต ศักยภาพในการผลิต ไม่ได้แพ้ชาติใดในโลกเลย

“ทั้งหมดนี้ รัฐบาลและเอกชนต้องช่วยกันหาคำตอบ อย่าให้รัฐคิดเองฝ่ายเดียว มิเช่นนั้น จะเอื้อแต่ทุนใหญ่เสมอ” ประธานทีมเศรษฐกิจพรรคกล้า กล่าว.