เมื่อวันที่ 12 พ.ค. น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ ส.ส.กทม. และโฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า การชะลอขึ้นราคาน้ำมันดีเชลอีกลิตรละ 2 บาท โดยตรึงราคาน้ำมันดีเชลให้อยู่ที่ลิตรละ 32 บาท และการลดค่าเอฟที ระยะเวลา 4 เดือน เริ่มตั้งแต่เดือน พ.ค.65 ที่รัฐบาลประกาศมานั้น แม้จะเป็นมาตรการที่ถือว่าล่าช้า ไม่เท่าทันกับความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนที่พรรค พท. เสนอแนะ แต่ถือเป็นการตอบรับข้อเรียกร้องที่สามารถลดภาระค่าครองชีพให้กับพี่น้องประชาชนได้ เนื่องจากการตรึงราคาน้ำมันดีเซลจะช่วยลดภาระต้นทุนสินค้าอุปโภคบริโภคทั้งในฝั่งของต้นทุน และในฝั่งของผู้ซื้อซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ นอกจากนี้ยังอยากเรียกร้องให้รัฐบาลพิจารณาตรึงราคาน้ำมันทุกประเภทต่อเนื่องไปอีกระยะ เนื่องจากราคาน้ำมันในตลาดได้ปรับลดลงต่ำกว่า 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลแล้ว ซึ่งจะช่วยลดภาระการนำเงินกองทุนน้ำมันไปอุดหนุนราคาน้ำมันดีเซลลงได้

ขณะนี้ระบบห่วงโซ่อุปทาน หรือ supply chain ของไทยถูกกำหนดด้วยราคาน้ำมันเป็นหลัก เพราะโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมในประเทศไม่ได้ถูกพัฒนามาเกือบ 10 ปี จากผู้นำที่ไร้วิสัยทัศน์ทำประเทศไร้การพัฒนา คนจนล้นประเทศกว่า 20 ล้านคน ประชาชนเป็นหนี้สูงกว่ารายได้เกือบ 5 เท่า คนไทยที่ไม่ควรตายด้วยโรคระบาดก็ต้องตายด้วยการบริหารจัดการที่ผิดพลาด ดังนั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ควรปรับตัวก่อนที่จะอำลาเส้นทางทางการเมือง เหลือเวลาอีกไม่นานที่จะได้นั่งบนเก้าอี้นายกณ ควรต้องรู้ว่าต้องเร่งแก้ปัญหาที่ต้นเหตุของปัญหา ขณะเดียวกันต้องมองไกล มีวิสัยทัศน์ วางรากฐานอนาคตให้กับลูกหลานบ้าง หยุดพฤติกรรมปล่อยปละละเลยวิกฤติของประเทศจนเกิดความเสียหายก่อนแล้วค่อยวิ่งไล่ตามปัญหา ประเทศเสียหายมามากพอแล้ว

“โรคระบาด เศรษฐกิจตกต่ำ ผู้นำล้มเหลว คือสิ่งที่คนยุคนี้ต้องเจอมาตลอดเกือบ 10 ปี พล.อ.ประยุทธ์ไม่ควรเป็นผู้นำที่อยู่ไปวันๆ ไม่กระตือรือร้นที่จะทำอะไรเพื่อประโยชน์องค์รวมของประเทศ สิ่งที่พรรคเพื่อไทยเสนอแนะไปหลายครั้ง เป็นการประเมินสถานการณ์ล่วงหน้ามาให้แล้ว ก็ควรเร่งนำไปปรับใช้บ้าง อย่าปล่อยให้เจ๊งแล้วตามแก้ อย่าถือทิฐิจนมองข้ามผลประโยชน์ของประชาชน ถ้าเชื่อเราเร็วกว่านี้ ประชาชนคงจะไม่เดือดร้อนมากขนาดนี้” น.ส.ธีรรัตน์ กล่าว