เมื่อวันที่ 12 พ.ค. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบูรณาการความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในการจัดการสถานการณ์โรคโควิดสู่โรคประจำถิ่น (Endemic) ครั้งที่ 1/2565 โดยมี นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานเกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม และคาดว่า ช่วงปลายเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน สถานการณ์จะเข้าสู่ระยะโรคลดลง (Declining) และมีการผ่อนคลายมากขึ้น รวมถึงประกาศลดระดับการเตือนภัยเป็นระดับ 2

นายอนุทิน กล่าวว่า จากความร่วมมือของทุกภาคส่วนทำให้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิดในประเทศไทยขณะนี้เริ่มมีแนวโน้มลดลงและอยู่ในการควบคุมประชาชนมีภูมิคุ้มกันที่มากเพียงพอ สามารถเข้าสู่การเป็นโรคประจำถิ่นหรือโรคติดต่อทั่วไปได้ แต่ต้องเตรียมการเพื่อปรับรูปแบบการบริหารจัดการและการผ่อนคลายมาตรการต่างๆ จึงได้แต่งตั้งคณะกรรมการบูรณาการความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนฯ เพื่อร่วมกันกำหนดแผน มาตรการและแนวทางข้อเสนอให้สามารถควบคุมสถานการณ์และเข้าสู่โรคประจำถิ่นได้อย่างเหมาะสม

“การประชุมครั้งแรกวันนี้ ที่ประชุมได้เห็นชอบข้อเสนอการบูรณาการความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในการจัดการสถานการณ์โรคโควิดสู่โรคประจำถิ่น โดยมีเป้าหมายเพื่อกำหนดมาตรการทางการแพทย์และสาธารณสุข มาตรการทางเศรษฐกิจและมาตรการทางสังคมและองค์กร ให้มีความสมดุลสอดคล้องกัน รวมถึงการสร้างความร่วมมือของประชาชนในการรับมือและปรับตัวเพื่ออยู่ร่วมกับโควิด ที่เปลี่ยนมาเป็นโรคประจำถิ่นหรือโรคติดต่อทั่วไปได้อย่างปลอดภัย” นายอนุทิน กล่าว

นายอนุทิน กล่าวต่อว่า จากแผนและมาตรการบริหารจัดการสถานการณ์โควิดสู่โรคประจำถิ่น ที่มี 4 ระยะ คือ ระยะต่อสู้กับโรค(Combatting) ระยะโรคทรงตัว (Plateau) ระยะโรคลดลง (Declining) และระยะหลังการระบาด (Post pandemic) ขณะนี้ประเทศไทยอยู่ในระยะทรงตัว จึงประกาศลดระดับการเตือนภัยโควิดจากระดับ 4 มาเป็นระดับ 3 พร้อมดำเนินงานในแต่ละด้าน มีรายละเอียดดังนี้

1.ด้านสาธารณสุข เดินหน้าฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นให้ได้มากกว่าร้อยละ 60 เน้นเฝ้าระวังการระบาดที่เป็นกลุ่มก้อน และผู้ป่วยปอดอักเสบ และผ่อนคลายมาตรการสำหรับผู้เดินทางจากต่างประเทศเพิ่มขึ้น

2.ด้านการแพทย์ ปรับแนวทางการดูแลรักษาแบบผู้ป่วยนอก เน้นดูแลผู้ป่วยที่เสี่ยงอาการรุนแรง มีอาการรุนแรง และภาวะลองโควิด

3.ด้านกฎหมายและสังคม เตรียมการด้านกฎหมายของทุกหน่วยงานให้สอดคล้องกับการปรับตัวสู่การเป็นโรคประจำถิ่น ลดการจำกัดการเดินทางและการรวมตัวของคนหมู่มาก ส่งเสริมมาตรการ Universal Prevention และมาตรการ COVID Free Setting

4.ด้านการสื่อสารประชาสัมพันธ์ เน้นการสร้างความรู้ความเข้าใจในการใช้ชีวิตร่วมกับโรคโควิดอย่างปลอดภัย

ทั้งนี้ คาดว่าช่วงปลายเดือน พ.ค.-มิ.ย. สถานการณ์จะเข้าสู่ระยะโรคลดลง (Declining) และจะมีการผ่อนคลายมากขึ้น รวมถึงประกาศลดระดับการเตือนภัยเป็นระดับ 2.