เมื่อวันที่ 13 พ.ค. นายไพศาล พืชมงคล นักกฎหมาย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า “ขบวนการนารีพิฆาตพระ”

1. ระยะปีเศษมานี่ มีเหตุการณ์ พระสงฆ์ถูกกล่าวหา ในทางมิดีมิร้ายหลายครั้ง เป็นเหตุการณ์แปลกๆ จนพระสงฆ์ต้องสึกออกไปหลายรูปแล้ว ทำให้ต้องตั้งข้อสังเกตว่าเกิดอะไรขึ้น ซึ่งพบว่ามีทั้ง 2 ประเภทคือ พระไม่เป็นพระจริงๆ อย่างหนึ่ง และพระที่ถูกข้อกล่าวหาและสึกออกไป แบบแปลกๆอีกอย่างหนึ่ง

2. จากการติดตามปรากฏว่า ทุกเรื่องจะมี 2 ขั้นตอน

~ ขั้นตอนแรก จะเป็นการรวบรวม สร้างหลักฐาน ว่าพระประพฤติไม่ถูกต้อง มีการบันทึกคลิปต่างๆไว้

~ ขั้นตอนที่ 2 จะเป็นขบวนการ ที่ประหลาดมากคือไม่ได้เป็นเจ้าพนักงานโดยตรงที่มีหน้าที่

แต่เป็นคนภายนอก และมีสื่อมวลชนบางประเภทเข้าร่วม จากนั้นก็ยกทีมกันไปแฉพระโดยมีการออกข่าวเรื่องล่วงหน้า ตีเป็นกระแส ในที่สุดพระก็สึกออกไป

กระบวนการที่ 2 นี้ เป็นชาวพุทธหรือไม่? มีประวัติเป็นมาอย่างไร? และมีอำนาจหน้าที่อย่างไร?

จึงเป็นเจ้ากี้เจ้าการ รับเรื่องที่อ้างว่ามีการร้องเรียน แล้วไปจัดการกันเอง ทั้งที่มีสำนักงานพุทธศาสนาแห่งชาติเป็นเจ้าของเรื่องอยู่แล้ว รัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรีที่รับผิดชอบกิจการพระศาสนาก็มีอยู่แล้ว!!!!

เห็นเรื่องดังขึ้นมาพระก็สึกออกไปแล้ว และทุกเรื่อง จะมีเรื่องผลประโยชน์เกี่ยวข้องทั้งสิ้น!!!

3. เกิดกระแสตีกลับขึ้น ก็จากกรณีหลวงปู่แสง ซึ่งเป็นพระสายปฏิบัติในสายของพระอาจารย์มั่น ซึ่งเป็นเสาหลักของพระปฏิบัติในประเทศไทย หากเสาหลักนี้ล้มลงแล้ว พระพุทธศาสนาก็จะเสื่อมสลายไปจากประเทศไทยอย่างรุนแรง ที่เกิดเป็นกระแสตีกลับ ก็เพราะว่า

~ หลวงปู่แสง ท่านมีอายุ 105 ปีแล้ว แต่ในทะเบียน แจ้งอายุน้อยกว่าอายุจริง ว่าอายุเกือบร้อยปีเท่านั้น แม้ปานนั้นแล้วก็เห็นได้ชัดว่า โดยสภาพร่างกายไม่อยู่ในฐานะที่จะล่วงเกินทางเพศกับผู้ใดอีก

~ ปรากฏความชัดว่าหลวงปู่แสงท่านประสบอุบัติเหตุ เมื่อช่วงอายุ 87 และเป็นโรคอัลไซเมอร์ หลงๆลืมๆ ยิ่งมีอายุมากขึ้น ความทรงจำ และความหลงเลือนก็เกิดมากขึ้น ตามประสาผู้มีอายุมากขนาดนั้น

และอาการที่กระทำต่อกรณีที่เกิดขึ้นก็เป็นรูปแบบเดียวกันกับที่ท่านปฏิบัติต่อคนอื่น ลักษณะความเคยชิน

~ กรณีเกิดเหตุที่นำมาเป็นข่าวกันนั้นเห็นได้ชัดว่ามีการจับฉากร่วมมือ ระหว่างผู้เป็นอุปัฏฐากดูแลหลวงปู่แสงกับพวกที่เอาสตรีขึ้นไปถ่ายทำคลิปวีดีโอ

ซึ่งทำการต่อหน้าคนหลายคน ผิดวิสัยของผู้ที่คิดล่วงเกินทางเพศผู้อื่น ตรงนี้คงเกิดขึ้นเพราะบาปกรรมบันดาลให้เป็นไปก็ได้

ตรงนี้ เห็นได้ชัดว่าเป็นการสมรู้กันจัดฉาก และมีเรื่องเกี่ยวกับการดื่มปัสสาวะซึ่งไม่ได้เกี่ยวกันเลย และในเรื่องดื่มปัสสาวะนั้น แต่โบราณมา ก็มีการดื่มกัน แม้มหาตมะ คานธี หรือเนห์รู ก็ดื่มปัสสาวะ พระสงฆ์หลายรูปก็ดื่มปัสสาวะเพราะเป็นยาอย่างหนึ่ง ผมเองก็เคยเขียนเรื่องนี้ไว้ในหนังสืออายุวัฒนะนานมาแล้ว แต่พวกไม่รู้ความก็ไปเขียนเรื่องผิดๆให้เข้าใจผิด

ให้ไปศึกษาดูคำว่า “น้ำมูถเน่า” ในพระวินัยดูก็จะเข้าใจได้

ในขณะที่กฎระเบียบของวัดก็ชัดเจนว่าห้ามสตรีเข้าไปใกล้พระ

เหตุการณ์แบบนี้ เพียงสังเกตนิดเดียวก็เห็นชัดว่าเป็นการสมรู้กันจัดฉาก

~ มีข่าวว่าหลวงปู่แสงมีเงินฝากในบัญชีถึง 57 ล้าน ซึ่งเป็นเรื่องที่ลูกศิษย์ลูกหาทำกันเองทั้งสิ้น เพราะอายุขนาดนี้จะไปเปิดบัญชีได้อย่างไร จะนำเงินเข้าฝากได้อย่างไร? การจัดฉากเรื่องนี้อาจจะเกี่ยวข้องกับความต้องการหรือผลประโยชน์ในเงิน 57 ล้านนี้ก็ได้!!!!

ดังนั้น เมื่อเกิดเหตุขึ้นแล้ว จึงถึงเวลาแล้วที่จะต้องตรวจสอบขบวนการสึกพระครั้งนี้สักครั้งหนึ่ง

ตรวจสอบถึงประวัติความเป็นมาของผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด ว่าเป็นชาวพุทธหรือไม่? มีประวัติความเป็นมาอย่างไร? มีอาชีพอะไร? อาศัยฐานะและเครือข่ายอะไร จึงไปทำหน้าที่สึกพระไม่หยุดไม่หย่อน!!!!

และกรณีหลวงปู่แสงนี้ จะต้องตรวจสอบถึงผู้ใกล้ชิดและที่มาของข่าวสารทั้งหมดที่นำมาออกสื่อ

เพราะนี่เป็นเบาะแสสำคัญ ที่แสดงให้เห็นว่าอาจมีการสมรู้กัน ถ้าหากผลการตรวจสอบ มีข้อเท็จจริงชัดเจนประการใดแล้ว ก็อาจจะมีอานิสงส์ในการปกป้องพระพุทธศาสนา โดยบังเอิญก็ได้”