นายสุทธิพงษ์ คงพูล ผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) เปิดเผยว่า ได้ลงนามออกประกาศเรื่อง หลักเกณฑ์การจัดสรรเส้นทางบินให้กับผู้ได้รับอนุญาตประกอบกิจการการบินพลเรือนในระหว่างสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2564 โดยได้ทำการปลดล็อกเปิดโอกาสให้สายการบินสามารถขออนุญาตทำการบินเข้า-ออกสนามบินนานาชาติอู่ตะเภา ระยอง-พัทยา เพิ่มเติมได้ จากเดิมที่กำหนดให้มีสายการบินให้บริการได้ไม่เกิน 3 ราย เพราะสนามบินนานาชาติอู่ตะเภา-ระยอง-พัทยา เป็นเส้นทางสายย่อย ที่มีผู้โดยสารใช้บริการไม่ถึง 1 แสนคนต่อปี ทั้งนี้ให้มีผลตั้งแต่บัดนี้จนถึงวันที่ 30 ต.ค. 64

นายสุทธิพงษ์ กล่าวต่อว่า การปลคล็อกดังกล่าว เพื่อต้องการเพิ่มทางเลือกและบรรเทาปัญหาการเดินทางให้กับผู้โดยสารที่มีความจำเป็นต้องเดินทางกลับภูมิลำเนา และเพื่อประโยชน์สาธารณะในการส่งเสริมให้มีการใช้บริการขนส่งทางอากาศที่เพียงพอต่อความต้องการของประชาชน รวมถึงช่วยบรรเทาผลกระทบของสายการบินให้สามารถดำรงสถานะทางการเงินและให้บริการประชาชนต่อไปได้ ในช่วงที่สายการบินไม่สามารถบินรับ-ส่งผู้โดยสารเข้า หรือออกจากสนามบินดอนเมือง และสนามบินสุวรรณภูมิได้ เนื่องจากอยู่ในพื้นที่สีแดงเข้ม 13 จังหวัด ซึ่งรัฐบาลประกาศควบคุมเที่ยวบินเข้าออก ตั้งแต่วันที่ 21 ก.ค. ที่ผ่านมา เพื่อยกระดับมาตรการเฝ้าระวังป้องกันโรคโควิด-19

นายสุทธิพงษ์ กล่าวอีกว่า หลังจากนี้สายการบินใดที่สนใจที่จะทำการบินมาที่สนามบินอู่ตะเภาฯ ก็สามารถยื่นขออนุญาตได้มากกว่า 3 สายการบิน โดยจะเป็นการอนุญาตให้บินแบบประจำ มีกำหนดเวลาการทำการบินรับส่งผู้โดยสาร โดยขณะนี้สายการบินนกแอร์ได้แจ้งขอเริ่มทำการบินที่สนามบินอู่ตะเภาฯ แล้ว ตั้งแต่วันที่ 24 ก.ค. ที่ผ่านมา 5 เส้นทาง คือ เชียงใหม่ สกลนคร อุดรธานี อุบลราชธานี ภูเก็ต และนครศรีธรรมราช และล่าสุดสายการบินไทยเวียตเจ็ท แจ้งขอเปิดทำการบินเช่นกัน โดยจะเริ่มทำการบินเที่ยวแรก วันที่ 2 ส.ค.นี้ 1 เส้นทาง คือ ภูเก็ต

รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับสายการบินไทยแอร์เอเชีย, ไทยไลอ้อนแอร์ และบางกอกแอร์เวย์ส ซึ่งเคยทำการบินอยู่ก่อน และได้ยกเลิกการทำการบินชั่วคราวไปนั้น ยังไม่มีแผนจะกลับมาเปิดบินอีกครั้ง ขณะที่สายการบินไทยสมายล์ไม่สนใจที่จะเข้ามาทำการบิน เนื่องจากปัจจุบันยังไม่มีสถานีให้บริการภาคพื้นที่สนามบินอู่ตะเภาฯ.