เมื่อวันที่ 17 พ.ค. ที่สวนสันติพร อนุสรณ์สถานพฤษภาประชาธรรม ถนนราชดำเนิน กทม. นายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวในงานพิธีรำลึก 30 ปี สดุดีวีรชนพฤกษาประชาธรรม ตอนหนึ่งว่าหลังจากเหตุการณ์พฤษภาคม 2535ตนได้รับเชิญให้มาเป็นนายกรัฐมนตรี แม้เวลาผ่านมา 30 ปี แต่ความขมขื่นคงเหลืออยู่ และตนยินดีที่ไม่กี่ปีมานี้กระทรวงกลาโหมได้ขอโทษเป็นทางการ และผู้ที่มีส่วนเสียหายได้อโหสิกรรมให้กับการกระทำพร้อมย้ำเราต้องเรียนรู้จากประวัติศาสตร์ว่าการใช้ความรุนแรงจะทำให้เมืองไทยหาความสุขสงบได้ยากความปรองดองต้องสร้างจากความเข้าใจ ความเชื่อถือและความมั่นใจซึ่งกันและกันถึงแม้ไม่เป็นมิตร แต่ไม่เป็นศัตรูซึ่งกันและกัน สิ่งเหล่านี้ต้องใช้เวลาและความพยายาม รวมถึงใช้สติ วันนี้เรามาระลึกถึงอดีต แต่เราต้องคุมสติเพื่อนำประเทศชาติ และสังคมไทยไปสู่ประชาธิปไตยอันสมบูรณ์ จึงหวังว่าเหตุการณ์ประเภทนี้จะไม่เกิดขึ้นอีกในประเทศไทย

ต่อมานายอานันท์ ให้สัมภาษณ์ถึงการเมืองไทยในปัจจุบันว่า การเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี มีแต่ยังน้อยไป ส่วนการเปลี่ยนแปลงในทางไม่ดีมากกว่า ในเรื่องสิทธิเสรีภาพของประชาชน สิทธิขั้นต้นยังไม่สามารถหาคำตอบที่ดีให้ได้ ขณะที่ทั่วโลกนำหน้าไปก่อน จึงยิ่งทำให้เราตามหลังมากขึ้น ตนหวังเราจะได้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ทั้งตัวหนังสือและจิตวิญญาณจะเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ในแง่สิทธิขั้นพื้นฐานของคนในสังคม สามารถเป็นเครื่องมือหรือแนวนโยบายขั้นพื้นฐาน นำไปสู่สังคมที่มีความยุติธรรมมากขึ้น ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม นำไปสู่สังคมที่มีความเป็นห่วงคนอื่น เป็นสังคมที่จะลดความเหลื่อมล้ำด้านต่าง ๆ แต่ไม่ใช่การประหัตประหารหรืออิจฉาคนรวย ต้องดูว่าความร่ำรวยของเขาได้มาจากอะไรซึ่งรัฐธรรมนูญต้องมีขอบเขต

“สิ่งแรกที่ต้องทำคือลดความจน เพราะถ้าคนยังจนอยู่สิทธิที่เขาจะได้ตามรัฐธรรมนูญประชาธิปไตยก็ไม่มีความหมายเท่าไหร่ ดังนั้นเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ทุกรัฐบาลควรตระหนักว่าปัญหาการเมืองมี แต่ปัญหาปากท้องประชาชน เศรษฐกิจขั้นพื้นฐาน และการดูแลให้ประชาชนมีเสื้อผ้าใส่ มีการพยาบาลที่สมบูรณ์ มีที่พักอาศัย เป็นหน้าที่ของทุกรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลประชาธิปไตยเต็มใบหรือเสี้ยวใบ หรือรัฐบาลรัฐประหารก็เป็นหน้าที่ขั้นต้น จึงอยากเห็นรัฐบาลไทยให้ความสนใจเรื่องพวกนี้มากขึ้นและทำจริงจัง ไม่ใช่สักแต่ว่าพูด” นายอานันท์ กล่าว

เมื่อถามว่าตอนนี้มีปัญหาเรื่องความขัดแย้งและปัญหาปากท้องประชาชนค่อนข้างมากจนมีเสียงเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม รับผิดชอบนั้นจะมีข้อแนะนำอย่างไร นายอานันท์ กล่าวว่า “ผมไม่มีข้อแนะนำ เพราะไม่มีตำแหน่ง อำนาจ และความรับผิดชอบ ดังนั้นจะพูดอะไรก็ต้องรู้อยู่เสมอว่าไม่มีข้อมูลที่สมบูรณ์ ดังนั้นการพูดอะไรออกไปในประเด็นที่ไม่มีข้อมูลที่สมบูรณ์ก็ไม่เป็นธรรมกับผู้ที่รับฟัง”

เมื่อถามว่ามองว่ารัฐบาลในขณะนี้จะเดินหน้าต่อไปอย่างไร เพราะดูเหมือนความขัดแย้งยังฝังรากลึกอยู่ กังวลว่าจะเกิดความรุนแรงเหมือนที่ผ่านมาหรือไม่ นายอานันท์ กล่าวว่า ตนคิดว่าสื่อมีส่วนที่ทำให้เกิดความรุนแรงทางวาทกรรม แต่ที่ร้ายแรงไปกว่าสื่อคือแฟลตฟอร์มออนไลน์และสังคมไทยส่วนใหญ่เป็นคนหูเบา พอได้ยินอะไรมาไม่ไตร่ตรองรับไปเป็นความจริงทันที ตรงนี้ถือว่าอันตรายเพราะตามหลักพระพุทธศาสนาสอนเสมอว่าทุกอย่างที่พูดไม่ใช่ว่าต้องเชื่อทุกอย่าง ต้องฟังให้ดีและไปไตร่ตรอง และคิดดูว่าถูกหรือผิด คนไทยเราอ้างว่าเราเป็นพุทธ แต่เข้าใจหลักพุทธศาสนาค่อนข้างน้อย ดังนั้นเรื่องการปรองดองอยู่ในบรรยากาศที่มีการทะเลาะกันในเรื่องสิ่งที่ไม่ควรทะเลาะ ก็ปรองดองลำบาก

“ทุกคนต้องจับเข่าคุยและหันหน้าคุยกัน แต่ยังไม่ถึงขั้นต้องเจรจา ถ้าต่างคนต่างวางท่าว่าถูกก็ปรองดองไม่ได้ เพราะความปรองดองจะปรองดองคนเดียวไม่ได้ อย่างน้อยต้องสองฝ่าย แต่ความขัดแย้งของเมืองไทยมากกว่าสองฝ่าย ดังนั้นต้องตั้งสติ เพราะถ้าไม่คุยกัน ปรับพื้นฐานความรู้ในสิ่งที่สำคัญให้เห็นตรงกัน สร้างความเชื่อมั่น ไว้ใจและเห็นใจแล้วจะนำไปสู่ความรู้สึกว่าอยากอยู่ร่วมกัน แต่ไม่ใช่ว่าจะต้องปรับความคิดอีกคนให้เหมือนกัน ความคิดแตกต่างได้ แต่ไม่ต้องแตกหัก สู้รบกัน แต่ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งถือว่าตนเองถูกเสมอหรือทำตามกฎหมายเสมอ ถ้ากฎหมายไม่ดีหรือผิดจะทำอย่างไร ดังนั้นสิ่งที่ต้องมีมากขึ้นในสังคมไทยต้องมีสติกับสติสัมปชัญญะ” นายอานันท์ กล่าว.