เมื่อวันที่ 19 พ.ค. ที่อาคารพีซทีวี ย่านรามอินทรา นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) พร้อมคณะจัดงานรำลึกเหตุการณ์ครบรอบ 12 ปี การสลายการชุมนุม 19 พ.ค. 2553 พร้อมจัดพิธีสงฆ์ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับวีรชนผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าวโดยมีมวลชนเสื้อแดง ทยอยเข้าร่วมงาน

นายจตุพร กล่าวช่วงหนึ่งว่า คนเสื้อแดงเกิดขึ้นมาเมื่อ 15 ปีที่แล้ว เริ่มถูกฆ่าในปี 2552 และถูกฆ่าร่วม 100 ชีวิต ในปี 2553 เราได้พยายามอธิบายมาตลอดในการต่อสู้ทางการเมืองบนท้องถนน ในทุกเหตุการณ์ของประเทศไทย ไม่มีเหตุการณ์ใดที่มีคนตายและไม่ได้รับความยุติธรรมเท่ากับคนเสื้อแดง พร้อมยืนยันขบวนการเสื้อแดงยึดหลักเสรีภาพ ไม่มีใครเป็นเจ้าชีวิตใครใคร นอกจากนี้ นายจตุพรยืนยันส่วนตัวไม่เคยทรยศย้ายขั้วสลับข้าง และไม่เชื่อ วันดีคืนดี คสช.จะมาคืนอำนาจให้กับพรรคเพื่อไทยเพราะการใช้สูตรหาร 100 คำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 93, 94 แต่หากใช้สูตรหาร 500 ขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 91 ตีความขัดได้ทั้งหมด

“ในวันข้างหน้าเราไม่รู้ว่าสถานการณ์ประเทศจะเป็นอย่างไร แต่ขอให้ทราบไว้ว่าถ้าวันหนึ่งเราประเมินว่าสถานการณ์ประเทศมันไปไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นการเมืองทั้งภายในและภายนอก วันนั้นเราจะมีการนัดหมายกันอีก เรายังต้องต่อสู้ และคิดว่าอีกไม่นาน ท่านทั้งหลายต้องดูแลตัวเองให้พร้อม” นายจตุพร กล่าว

นอกจากนี้ นายจตุพร ให้สัมภาษณ์ถึงกรณี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หรือ อุ๊งอิ๊ง บุตรสาวนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ชวนคนเสื้อแดงกลับบ้าน ว่า เป็นเรื่องต่างกรรมต่างวาระ เป็นสิทธิเสรีภาพของคนเสื้อแดงว่าจะตัดสินใจกันอย่างไร แต่ให้ยึดหลักความเป็นประชาธิปไตย ขณะนี้ตนเป็นผู้ที่ถูกตัดสิทธิทางการเมือง ติดคุกออกคุกมาแล้ว 5 ครั้ง คดียาวเป็นหางว่าว ตนต้องการใช้เวลาที่เหลืออยู่ในสนามของประชาชน ส่วนสนามการเมืองยังไม่ได้คิดแต่ก็ไม่ได้ปิดประตูตาย

เมื่อถามกรณี น.ส.แพทองธาร จะเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี นายจตุพร กล่าวว่า รัฐธรรมนูญระบุว่า บุคคลสัญชาติไทย อายุ 35 ขึ้นไปสามารถเป็นนายกรัฐมนตรีได้ ดังนั้นคุณอุ๊งอิ๊งมีสิทธิเป็นนายกฯ ได้เหมือนคนอื่น ตนไม่ได้วิตกกังวลอะไร เป็นสิทธิที่จะแข่งขันในสนามการเมือง

เมื่อถามต่อว่า หากน.ส.แพทองธาร ได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี จะมีการยึดอำนาจ หรือต้องซ้ำรอยลี้ภัยไปยังต่างประเทศเหมือนนายทักษิณ หรือไม่ นายจตุพร กล่าวว่า บทเรียนมีไว้ให้แก้ ตนพูดเสมอว่าทุกฝ่ายมีสิ่งที่ถูกและผิด ไม่มีฝ่ายใดถูกเสมอ เมื่อมีบทเรียนต้องดูสาเหตุที่จะทำให้ไปสู่เหตุการณ์นั้น อย่าไปเปิดประตูให้กับการรัฐประหาร ทุกเหตุการณ์ย่อมมีบทเรียน อย่าไปติดกับดัก แต่ละบทเรียนมีไว้ให้แก้ไข ไม่ใช่ทำผิดพลาดซ้ำอีก

โดยในช่วงท้ายนายจตุพร วิเคราะห์การเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ว่าการเลือกตั้งครั้งนี้แตกต่างกับการเลือกตั้งที่ผ่านมา ปกติการเลือกตั้งจะเป็นที่รู้กันว่าจะมี 2 ฝ่าย 2 ขั้วการเมือง แม้จะมีผู้เข้าชิงมากแค่ไหนก็ตาม ดังนั้นวาทกรรมที่ว่า ไม่เลือกเราเขามาแน่ ก็จะเกิดขึ้น แต่ครั้งนี้เป็นการเลือกตั้งที่ประหลาดที่สุด เพราะไม่มีคนนำแต่ละขั้วอย่างชัดเจน คะแนนเสียงจะกระจาย ขึ้นอยู่กับประชาชนว่าจะเลือกใคร แม้ครั้งนี้นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ คะแนนโพลนำ ซึ่งคนนำต้องเอาบทเรียนว่าต้องทำอย่างไรไม่ให้แพ้ เพราะที่ผ่านมาคนคะแนนนำมักไม่ค่อยชนะ แต่ละคนอย่าประมาทกับชีวิต อะไรที่ต้องแก้แล้วไม่แก้นั่นคือ “จุดแพ้” และอย่าไปหลงตัวเองว่านำ หลงตัวเองแพ้ทั้งนั้น มีปัญหาอะไรต้องรีบแก้ การเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ไม่ได้อธิบายผลเลือกตั้งทั้งประเทศ ดังนั้นจึงไม่มีอะไรที่น่ากลัวต้องการให้ใครเป็นตัวแทนของท่านก็ไปเลือกคนนั้น.