ในช่วงที่สถานการณ์โควิด-19 ยังคงต้องเฝ้าระวังและน่าเป็นห่วง จะเห็นได้จากจำนวนผู้ติดเชื้อที่ยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนหลายๆคนที่อยู่ใกล้ผู้ป่วย หรือมีความใกล้ชิด กลายเป็นผู้ที่มีความเสี่ยงสูง ต้องกักตัวกันเป็นจำนวนมาก แต่ภายหลังกลับพบว่าไม่มีการติดเชื้อแต่อย่างใด ซึ่งในกรณีดังกล่าว ก็ได้ทำให้หลายๆคนสงสัยไปตามๆกัน ว่าเหตุใดถึงไม่มีการติดเชื้อนั้น

เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว ล่าสุดทางด้านแฟนเพจ “Center for Medical Genomics” หรือ ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ได้โพสต์ระบุข้อความไขข้อสงสัยเอาไว้ว่า

ทำไมบางคนไม่ว่าจะเป็น “เด็ก คนหนุ่มสาว หรือผู้สูงวัย” แม้จะอยู่ใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อโควิด-19 นานเท่าใดก็ไม่ติดเชื้อไม่ว่าจะเป็นสายพันธุ์ใด (resistant)?
-ทำไมบางคนเมื่อติดเชื้อโควิด-19 กลับมีอาการรุนแรง และบางรายถึงขั้นเสียชีวิตทั้งที่อายุน้อยกว่า 50 ปีและไม่มีโรคประจำตัว (life-threatening)?
-ทำไมบางคนเป็นลองโควิด (long covid)?

หากสามารถตอบคำถาม 3 ข้อนี้ได้ เราจะมีองค์ความรู้ที่ไปพัฒนาสร้างวัคซีน ยา เวชภัณฑ์ใหม่ รวมทั้งชุดคัดกรองผู้ที่มีความเสี่ยงสูงจะติดเชื้อรุนแรงหรือจะมีอาการลองโควิดเพื่อให้ได้รับ วัคซีน ยา หรือเวชภัณฑ์ต้านไวรัสที่มีอยู่ในปัจจุบันได้อย่างรวดเร็วทันต่อการรักษาเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด

ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ฯร่วมมือกับ “นักวิจัยนานาชาติ” ถอดรหัสพันธุกรรมผู้ติดเชื้อทั้งจีโนม (โครโมโซม 23คู่ อันประกอบด้วย 25,000 ยีนจาก 3,000 ล้านเบส) เพื่อไขปัญหาดังกล่าว ร่วมไปกับการถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนมของไวรัสโคโรนา 2019 (13-15 ยีน หรือ Open reading frame จาก 30,000 เบส)

“จากงานวิจัยในอดีตจนถึงปัจจุบันบ่งชี้ว่าผู้ที่ติดเชื้อไวรัสแทบทุกประเภทรวมทั้งไวรัสโคโรนา 2019 ส่วนใหญ่มักไม่มีอาการ (asymptomatic) หรือมีอาการไม่รุนแรง (mild) เป็นเพียงส่วนน้อยที่มีอาการรุนแรงและบางรายถึงขั้นเสียชีวิต (life-threatening)”

เมื่อไวรัสรุกรานเข้าไปในร่างกายของผู้ติดเชื้อ “จีโนมบางส่วนของไวรัส” จะไปกระตุ้นให้เซลล์ผู้ติดเชื้อ เช่นเซลล์ปอดสร้างสารโปรตีนขึ้นมาต่อต้านในทันทีอย่างไม่จำเพาะ (ต่อต้านไวรัสทุกสายพันธุ์) ซึ่งเรียกกันว่า “อินเตอร์เฟียรอน (Interferon: IFN)” โดยมีฤทธิ์ขัดขวางการเพิ่มจำนวนของไวรัส

อินเตอร์เฟียรอนจะเป็นสารที่ร่างกายสร้างขึ้นมาก่อน “แอนติบอดี” เพื่อจัดการกับไวรัส ทำให้ผู้ติดเชื้อไวรัสส่วนใหญ่มักไม่มีอาการ หรือมีอาการไม่รุนแรง “งานวิจัยล่าสุดพบว่ากว่า 20 เปอร์เซ็นต์ของผู้ที่เป็นโรคโควิด-19 ขั้นรุนแรง พบว่าในร่างกายกลับมีการสร้าง “แอนติบอดีต่อร่างกายตนเอง (Auto-antibodies)” เข้าทำลาย “อินเตอร์เฟียรอน” และปริมาณของ Auto-antibodies จะถูกสร้างเพิ่มขึ้นตามอายุและจะพบมากในผู้มีอายุมากกว่า 70 ปีขึ้นไป โดยพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง”

ส่วนอีกประมาณ 3.5 เปอร์เซ็นต์พบว่าเป็นผู้ติดเชื้อที่มียีนกลายพันธุ์มาแต่กำเนิด ทำให้ร่างกายสร้างอินเตอร์เฟียรอนได้เพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับคนปรกติ หรือไม่สร้างเลย (inborn errors of immunity) ซึ่งในทั้งสองกรณี (Auto-antibodies และ inborn errors of immunity) ส่งผลให้ร่างกายผู้ติดเชื้อผลิตอินเตอร์เฟียรอนลดลง ทำให้ไวรัสสามารถเพิ่มจำนวนได้อย่างรวดเร็วโดยไม่มีอะไรมายับยั้งก่อให้เกิดอาการติดเชื้อที่รุนแรง

ผู้ที่มียีนกลายพันธุ์มาแต่กำเนิดส่งผลให้ไวต่อการติดเชื้อมากกว่าคนปรกติ (inborn errors of immunity) โดยจะก่อให้เกิดอาการของโรคที่เกิดการอักเสบด้วยตัวเอง โรคภูมิแพ้ หรือโรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเองร่วมด้วย ปัจจุบันพบแล้ว ประมาณ 431 อาการของโรค

ในอนาคตหากมีงานวิจัยออกมายืนยันเป็นจำนวนมาก อาจมีการให้อินเตอร์เฟียรอนแก่ผู้ที่มีภาวะ “อินเตอร์เฟียรอนบกพร่อง” ก็เป็นได้

ขณะนี้ทีมวิจัยจีโนมผู้ติดเชื้อทั่วโลกกำลังประเมินว่าการฉีดวัคซีนรวมเข็มกระตุ้นที่ช่วยให้ผู้ติดเชื้อไม่ป่วยรุนแรงและเสียชีวิตจะสามารถชดเชย (compensate) การกลายพันธุ์ตั้งแต่เกิดของผู้ติดเชื้อที่ส่งผลให้เกิดความบกพร่องทางภูมิคุ้มกัน (primary immunodeficiency) และการสร้าง Auto-antibodies ต่อต้านอินเตอร์เฟียรอนในผู้สูงวัยอันส่งผลให้เกิดการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 อย่างรุนแรงได้หรือไม่

นอกจาก 20 + 3.5 เปอร์เซ็นต์ของผู้ที่เป็นโรคโควิด-19 ขั้นรุนแรงที่เราทราบสาเหตุแล้ว นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกกำลังพยายามหาสาเหตุอีก 80 เปอร์เซ็นต์ที่ทำให้ผู้ติดเชื้อต้องมีอาการเจ็บป่วยจากโรคโควิด-19 ที่รุนแรง

“ยิ่งไปกว่านั้นเรายังพบว่ามีคนจำนวนหนึ่งไม่ว่าจะเป็น “เด็ก คนหนุ่มสาว หรือผู้สูงวัย” สามารถต้านทานต่อการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Resistant to COVID-19 infection) แม้จะอยู่ร่วมกับผู้ติดเชื้อที่มีอาการไอจามอย่างรุนแรงและอยู่ร่วมกันเป็นระยะเวลานาน ทั้งที่ไม่ได้ฉีดหรือฉีดวัคซีนก็ตาม”

จึงทำให้เกิดมีโครงการ “COVID Human Genetic Effort” ขึ้นมา ซึ่งเป็นโครงการความร่วมมือระดับนานาชาติที่ร่วมด้วยช่วยกันถอดรหัสพันธุกรรมมนุษย์ของผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ทุกยีน (25,000 ยีน) หรือทั้งจีโนม (3 พันล้านเบส) เน้นในสามกลุ่มหลักคือ กลุ่มแรกเป็นผู้ที่สามารถต้านทานต่อการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ได้ กลุ่มที่สองเป็นกลุ่มที่มีการติดเชื้อรุนแรง กลุ่มที่สามลองโควิด “Long COVID” ที่มีอาการหลงเหลือหลังติดเชื้อโควิด-19 ว่ามีการกลายพันธุ์ของยีนใดเข้ามาเกี่ยวข้อง โดยตรวจสอบเปรียบเทียบในประชากรแต่ละเชื้อชาติว่ามีการกลายพันธุ์ “ที่ยีนเดียวกัน”และ“บนตำแหน่งเดียวกันของยีนดังกล่าว” หรือไม่อย่างไร

“หากสามารถไขคำตอบทั้ง 3 กลุ่มนี้ได้เราจะมีองค์ความรู้ที่ไปพัฒนาสร้างวัคซีน ยา เวชภัณฑ์ใหม่ รวมทั้งชุดคัดกรองผู้ที่มีความเสี่ยงสูงจะติดเชื้อรุนแรงหรือจะมีอาการลองโควิดเพื่อให้ได้รับ วัคซีน ยา หรือเวชภัณฑ์ต้านไวรัสที่มีอยู่ในปัจจุบันได้อย่างรวดเร็วทันต่อการรักษาเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด”

สรุปได้ว่า “Auto-antibodies” (autoimmune phenocopies or mimics of inborn errors of interferon) เป็นปัจจัยเสี่ยงอันดับที่สองที่ทำให้ผู้ติดเชื้อโควิด-19 มีอาการรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตรองลงมาจาก “อายุ” แต่สูงกว่าอันดับสามและสี่คือ”เพศ”และ “ผู้ที่มียีนกลายพันธุ์มาแต่กำเนิดส่งผลให้ไวต่อการติดเชื้อมากกว่าคนปรกติ (inborn errors of immunity)” อันส่งผลให้เกิดภูมิคุ้มกันบกพร่อง (primary immunodeficiency)..

ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก @Center for Medical Genomics