เมื่อวันที่ 23 พ.ค. ผศ.ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล วิเคราะห์ภายหลังนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ได้คะแนนเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.เกิน 1 ล้านคะแนน สอดคล้องกับผลการประมาณการของซูเปอร์โพล ที่เผยแพร่หลังปิดหีบเลือกตั้งทันทีว่า นายชัชชาติจะได้คะแนนระหว่าง 1 ล้าน ถึง 1.5 ล้านคะแนน ที่หลายๆคนมองว่าเป็นชัยชนะแบบถล่มทลายที่นายชัชชาติ และพรรคเพื่อไทย พรรคก้าวไกล สามารถเข้ายึดครองใจคนกรุงเทพฯ ที่เทคะแนนให้

หากวิเคราะห์เชิงตัวเลขอย่างเดียวจะพบร่องรอยของการแบ่งขั้วที่ผ่านมาเป็นสิบปียังคงมีอยู่ ฝ่ายชนะจะได้ประมาณเท่าๆ เดิมคือ 1 ล้านกว่าคะแนน จะเห็นได้ว่าฝ่ายที่แพ้ในส่วนของรัฐบาลรวมคะแนนกันแล้วมีเท่า ๆ เดิมด้วยสมการคณิตศาสตร์ขั้นต้นคือผลรวมของคะแนนฝ่ายรัฐบาลที่ได้กับคะแนนที่หายไปเพราะไม่ได้ออกไปใช้สิทธิด้วยเหตุผลบางประการ เช่น เบื่อหน่ายส่ายหัวกับการตัดสินใจส่งตัวแทนของพรรคพลังประชารัฐ ที่ขาดความใส่ใจต่อเสียงของประชาชนและไม่ได้ใช้ข้อมูลที่เป็นวิทยาศาสตร์ผ่านเครื่องมือใหม่ยุคปฏิวัติเทคโนโลยีดิจิทัลมาตัดสินใจ แต่กลับตัดสินใจแบบดั้งเดิมอิงกับอำนาจนิยมและอิทธิพลทางการเมือง รวมถึงปัญหาภาพลักษณ์ที่คนกรุงเทพมหานครรับไม่ได้ จึงทำให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งฝ่ายรัฐบาลจำนวนมากไม่ออกไปใช้สิทธิและบางส่วนไปเทคะแนนให้นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ และนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร

ดังนั้นพรรคพลังประชารัฐและพรรคร่วมรัฐบาลต้องใช้โอกาสที่ยังมีอีกไม่มาก ตัดสินใจเชิงยุทธศาสตร์ที่ดี ลด ละ เลิกอำนาจนิยมที่ฝังอยู่ในชุดความคิด และก้าวไปข้างหน้าให้ทันต่อการทำงานตอบโจทย์ตรงเป้าความต้องการของประชาชน มิฉะนั้นแล้วอาจเกิดความพ่ายแพ้แบบหมดรูปของฝ่ายขั้วรัฐบาลก็เป็นได้ในการเลือกตั้งสนามใหญ่ที่จะเกิดขึ้นอีกไม่นาน เพราะห้วงเวลา 8 ปีที่ผ่านมาทำได้เพียงให้ประชาชนรู้แบบยัดเยียดให้รู้และให้เข้าใจ แต่ต้องไปให้ถึงความเชื่อมั่นและสนับสนุนด้วยผลงานที่เป็นชิ้นเป็นอันมากกว่าไปสวมจิตวิญญาณนักการเมืองมืออาชีพเสมือนเสือหิว ประคองเก้าอี้.