เมื่อวันที่ 23 พ.ค. นายสุทธิชัย เขาลาด อายุ 29 ปี อยู่บ้านเลขที่ 46 หมู่ 2 บ้านบวกอ่าง ต.โคกใหญ่ อ.ท่าลี่ จ.เลย เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 18 พ.ค.ที่ผ่านมา ตนได้เข้าพิธีแต่งงานกับนางสี อุดทุม อายุ 23 ปี หญิงชาว สปป.ลาว โดยมีจัดงานแบบเล็กๆ ที่บ้าน หลังจากแต่งงานแล้วในวันรุ่งขึ้น นางสี กับแม่คือ นางเนียน อุดทุม ได้นำเงินสินสอดและเงินค่าใส่ซองผูกแขนจากแขกเหรื่อที่มาร่วมงานแต่ง เดินทางออกจากบ้านหายไป และไม่สามารถติดต่อได้จนถึงขณะนี้ ทางบ้านทั้งพ่อแม่และตนรู้สึกเครียดมาก

นายสุทธิชัย เล่าว่า ตนเป็นเกษตรกร มีอาชีพทำสวนยาง ไร่ข้าวโพด ปลูกมันสำปะหลัง จบการศึกษาเพียงแค่ ป.6 เป็นโสดมาโดยตลอด กระทั่งขณะนี้อายุ 29 ปี พ่อแม่ก็เห็นว่าลูกชายคนเดียว ถึงเวลาต้องมีครอบครัว แต่ก็ยังไม่มีใครถูกใจ จนกระทั่งเมื่อประมาณ 10 วันที่แล้ว ได้รู้จักกับนางสี สาวชาวลาว เดินทางมาเยี่ยมแม่ คือนางเนียน ที่เป็นภรรยาของลุงในหมู่บ้านเดียวกัน โดยนางสีได้บอกว่าได้หย่าร้างกับสามีแล้ว และมีลูกชายติดมาด้วย 1 คน อายุ 5 ขวบ ทางผู้ใหญ่จึงเห็นว่า ตนกับนางสีน่าจะมาอยู่กินด้วยกันเป็นครอบครัว เพราะต่างคนต่างโสด ซึ่งนางสีได้อ้อนวอนกับญาติผู้ใหญ่ ร้องห่มร้องไห้ รบเร้าอยากแต่งงานกับตน เพราะจะอยู่กับแม่ก็ไม่สะดวก บางครั้งก็โดนไล่หนี

กระทั่งวันที่ 17 พ.ค. ขณะที่ตนนอนเล่นอยู่ในบ้าน ก็มีญาติผู้ใหญ่มาเรียกให้ไปคุยกับนางสีและญาติฝ่ายนั้น ตนก็รู้สึกชอบนางสี ถามนางสีว่าชอบตนไหม ก็บอกว่าชอบเหมือนกัน ทางผู้ใหญ่จึงตกลงให้มีการแต่งงานในวันที่ 18 พ.ค. ทันที โดยฝ่ายนางสี เรียกค่าสินสอด 25,009 บาท และทอง 1 บาท ซึ่งการจัดพิธีแต่งงานก็เป็นไปตามปกติจัดแบบเล็กๆ มีแม่ของนางสี และลูกชายมาร่วมงานอยู่ด้วย

“ในช่วงเข้านอนในห้องหอ นางสีก็พาลูกชายมานอนตรงกลาง เมื่อลูกหลับแล้ว ตนก็เอื้อมมือจะมากอดนางสี และขอมีเพศสัมพันธ์ด้วย แต่นางสีปฏิเสธว่า พรุ่งนี้ต้องไปทำธุระเรื่องโรงเรียนให้ลูกชาย เอาไว้วันหน้าก็แล้วกัน ตนก็ถอยกลับมานอนหลับต่อจนถึงตอนเช้า เมื่อถึงตอนเช้า นางสีกับแม่และลูกชายบอกว่าจะไปทำธุระที่ตัว อ.ท่าลี่ โอนเงินให้ญาติที่ลาวซื้อแพมเพิร์ส และซื้อโทรศัพท์ 1 เครื่อง หลังจากนั้นก็กลับมาบอกตนว่า จะต้องเดินทางไปจัดการทำธุระที่จังหวัดนครพนม 2-3 วัน เสร็จแล้วจะกลับมาหาที่บ้าน” เจ้าบ่าวป้ายแดง กล่าว

เจ้าบ่าวหนุ่ม กล่าวต่อว่า ต่อมาวันที่ 20 พ.ค. ตนเองได้พยายามโทรฯ ตามก็ติดต่อไม่ได้ แต่ภรรยาก็ไม่รับสาย และโทรฯ อีกครั้งปรากฏว่าปิดเครื่อง จึงเชื่อว่าตนถูกหลอกแล้ว แต่ยังรู้สึกรักอยู่ และขอให้โอกาสถ้าไม่กลับมาภายใน 3 วัน ก็จะแจ้งความดำเนินคดีอย่างแน่นอน

ด้านแม่เจ้าบ่าว กล่าวว่า ทางบ้านมีฐานะยากจน ตนก็ป่วยหลายโรค มีลูกชายเพียงคนเดียว อายุ 29 ปี แล้ว ก็อยากให้มีครอบครัว ฝ่ายหญิงลาวคนนี้ ตนไม่เคยรู้จักมาก่อน เห็นว่าเขารบเร้า อ้อนวอน อยากแต่งงานกับลูกตนมาก จึงตกลงตามนั้น เพราะคิดว่าตนอยู่คนเดียวที่บ้าน ก็มีลูกสะใภ้มาคอยดูแล เพราะลูกชายและสามี ส่วนใหญ่อยู่ที่ไร่ ตนและสามีได้เอาเงินที่เก็บสะสมจากการขายยางก้อนถ้วยมาเป็นสินสอด ส่วนทอง 1 บาทนั้น ขอไว้ก่อน หลังจากนี้ให้ช่วยกันกรีดยางแล้วจะซื้อให้ นอกจากนี้เงินที่ใช้สำหรับจัดเลี้ยงงานแต่ง ทั้งค่าอาหาร เครื่องดื่ม ก็จ่ายเพิ่มอีกประมาณ 10,000 บาท รวมแล้วประมาณ 50,000 บาท ส่วนทางฝ่ายหญิง ช่วยงานแต่ง เพียงออกเงินค่าชื้อเนื้อมาเพียง 1,000 บาท

“ในวันที่เขาจะเดินทางออกจากบ้าน เขาก็ไม่บอกพ่อกับแม่ผัวสักคำ รู้สึกผิดปกติ เพราะตามประเพณีแล้วจะต้องอยู่เฝ้าขวัญสามวันสามคืน และพบว่าเขาเอาเงินค่าสินสอด และเงินที่แขกมาผูกแขน รวมประมาณ 36,000 บาท หนีไปด้วย” แม่เจ้าบ่าว กล่าวทิ้งท้าย

ส่วนทางด้านนางเนียน แม่ของนางสี ก็ได้นำเอาทรัพย์สินในบ้านของสามี ทั้งเงินสด สร้อยคอทองคำ หนีไปด้วยทั้งหมดเช่นเดียวกัน ตนจึงเชื่อว่าถูกหลอกแน่นอน ตอนนี้เครียดมาก กินไม่ได้นอนไม่หลับ หลังเกิดเหตุได้ไปแจ้งความกับตำรวจ สภ.ท่าลี่ จ.เลย แล้ว แต่ทางตำรวจให้คำปรึกษาว่า รอดูอีกสักพักก่อน หากไม่มาอีก 3-7 วัน ก็ค่อยมาแจ้งความ ซึ่งตอนนี้คาดว่าทั้งสาวลาว แม่ และลูกชาย น่าจะหลบหนีข้ามไปฝั่งลาวเรียบร้อยแล้ว.