เมื่อวันที่ 30 ก.ค. ที่กระทรวงสาธารณสุข นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค แถลงข่าวผ่านเพจ “กระทรวงสาธารณสุข” ว่า จากการทำแบบจำลองการคาดการณ์จากตัวเลขผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตในอนาคต 3-4 เดือนข้างหน้า เทียบกับการระบาด และมาตรการที่ดำเนินการเพื่อควบคุมป้องกันโรค โดยเฉพาะมาตรการล็อกดาวน์ปลายเดือน ก.ค. ทั้งนี้หากไม่มีมาตรการล็อกดาวน์ ไม่มีมาตรการที่เข้มข้น จะมีจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่รายวันสูงเกิน 40,000 รายได้ สูงสุดจะอยู่ประมาณวันที่ 14 ก.ย.

แต่หากมีมาตรการการล็อกดาวน์ จะมีการคำนวณออกมา 4 รูปแบบ 1. หลังล็อกดาวน์ได้รับความร่วมมือจากประชาชนและผู้เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นมาตรการอยู่ที่บ้านมากที่สุด การหยุดกิจกรรมชุมนุมรวมตัวของกลุ่มคน หากการล็อกดาวน์มีประสิทธิภาพลดการติดเชื้อได้ 20% นาน 1 เดือน ตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่รายวันจะลดลงจาก 40,000 กว่าราย เหลือประมาณ 30,000 กว่าราย และจุดสูงสุดจะอยู่ต้นเดือน ต.ค. 2. หากเราใช้มาตรการล็อกดาวน์นานกว่านี้หรือมีประสิทธิภาพมากกว่านี้ โดยถ้าทุกคนอยู่กับบ้านมีประสิทธิภาพช่วยลดการติดเชื้อได้ 25% นาน 1 เดือน สถานการณ์จะใกล้เคียงกัน 3. ถ้าล็อกดาวน์นานขึ้นกว่าเดิม 20% จะทำให้สถานการณ์ผู้ติดเชื้อรายใหม่ลดเหลือประมาณ 20,000 กว่าราย และ 4. ถ้าการล็อกดาวน์มีประสิทธิภาพมีประสิทธิภาพ 25% นาน 2 เดือนตัวเลขจะต่ำลง

ส่วนการคาดการณ์จำนวนผู้เสียชีวิตต่อวัน โดยหากไม่มีมาตรการใดๆ ไม่มีการล็อกดาวน์ จากแบบจำลองพบว่าจะมีผู้เสียชีวิตมากกว่า 500 รายต่อวัน จุดสูงสุดจะอยู่ที่ประมาณวันที่ 28 ก.ย. 2564 แต่หากมาตรการเริ่มล็อกดาวน์ตั้งแต่ปลายเดือน ก.ค. ตัวเลขผู้เสียชีวิตจะไม่เกิน 400 รายต่อวัน จุดสูงสุดจะอยู่ที่วันที่ 26 ต.ค. ภายใต้การดำเนินการมาตรการอย่างมีประสิทธิภาพ 20-25% อย่างไรก็ตามถ้าล็อคดาวน์ยาวนานขึ้นจำนวนผู้ติดเชื้อรายวันก็จะลดลง จุดสูงสุดจะอยู่กลางเดือน พ.ย.

“ถ้าเทียบว่าหากเราไม่มีมาตรการอะไรเลย จะมีผู้ติดเชื้อเสียชีวิตรายใหม่ต่อวัน 500 คน แต่วันนี้ ด้วยความพยายามของรัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุขโดยการนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข ที่มีทั้งมาตรการล็อกดาวน์ การค้นหาผู้ป่วย และการเร่งฉีดวัคซีนในผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ผู้สูงอายุ และหญิงตั้งครรภ์ ซึ่งเสี่ยงติดเชื้ออาการรุนแรงและเสียชีวิต เมื่อใช้ 3 มาตรการรวมกัน จะทำให้มีผู้ติดเชื้อเสียชีวิตประมาณหลัก 100 กว่าราย นี่คือสิ่งที่เรากำลังพยายามกันอยู่” นพ.โอภาส กล่าว

 

อย่างไรก็ตามขณะนี้สถานการณ์ยังมีผู้ติดเชื้อจำนวนมากและมีการติดเชื้อในหมู่ประชาชนค่อนข้างกว้างขวาง โดยเฉพาะกรุงเทพฯ ปริมณฑล และภาคกลาง ดังนั้นการร่วมมือของประชาชนลดกิจกรรมไม่จำเป็น พยายามอยู่บ้านให้มากที่สุด ใส่หน้ากากอนามัย เว้นระยะห่างทางสังคม ล้างมือบ่อยๆ วัดอุณหภูมิก่อนเข้าสถานที่ และ scan ไทยชนะ จะช่วยทำให้มาตรการส่วนบุคคลในการป้องกันการติดเชื้อสู่ชุมชนอื่นๆ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ จึงขอความร่วมมือในการนำกลุ่มเสี่ยงผู้สูงอายุมากกว่า 60 ปีผู้ป่วยมีโรคประจำตัวเรื้อรังไปรับวัคซีนตามที่กำหนดในสถานที่ต่างๆ จะทำให้เราสามารถลดจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ และลดการเสียชีวิตไม่มากอย่างที่คาดการณ์ จึงต้องขอความร่วมมือจากประชาชน.