เมื่อวันที่ 25 พ.ค. รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Harirak Sutabutr ระบุว่า

เป็นที่ทราบกันแล้วว่า ผลการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครออกมาไม่มีการพลิกล็อก รศ.ดร.ชัชชาติ สิทธิพันธ์ุ ได้คะแนนเสียง 1.38 ล้านคะแนน ชนะผู้ได้ตำแหน่งที่ 2 แบบมองไม่เห็นฝุ่น

เมื่อได้คะแนนเสียงขนาดนี้ ชาวกทม. ที่เชียร์ผู้สมัครคนอื่นๆ ก็ต้องยอมรับสภาพ และให้โอกาสคุณชัชชาติได้ทำงาน บทบาทของกองเชียร์ฝ่ายตรงข้ามที่ควรจะทำจากนี้ไปก็คือ คอยติดตามดูว่านโยบาย 214 ข้อ ซึ่งความจริงน่าจะเรียกว่าคำสัญญาหรือสิ่งที่สัญญาว่าจะทำมากกว่านโยบาย คุณชัชชาติจะทำได้สำเร็จกี่ข้อ และแน่นอนว่าคงไม่มีใครคาดหวังว่าผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครคนใหม่จะทำได้ตามคำสัญญาได้ครบทุกข้อ เพราะแค่ทำได้สำเร็จจริงสักครึ่งหนึ่งในระยะเวลา 4 ปี ก็ต้องถือว่าสอบผ่านแล้ว

มีคนถามกันมากว่า เพราะอะไร คุณชัชชาติจึงกวาดคะแนนเสียงไปแบบถล่มทลายม้วนเดียวจบเช่นนี้ คะแนนเสียงที่ได้ไม่ได้มาจากฐานเสียงของพรรคเพื่อไทยเท่านั้นแน่นอน เพราะในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งที่แล้ว พรรคเพื่อไทยได้คะแนนเสียงจากการเลือกสมาชิกผู้แทนราษฎรของกทม. รวมกันทั้งหมดทุกเขตเพียง 604,699 คะแนน แสดงว่าคุณชัชชาติได้คะแนนเสียงจากชาว กทม.ทุกกลุ่ม และมีจำนวนมากที่เลือก ส.ก.จากพรรคที่ตัวเองชอบ เช่น เลือก ส.ก.ของพรรคประชาธิปัตย์ หรือของพรรคก้าวไกล แต่แทนที่จะเลือก คุณสุชัชวีร์ หรือคุณวิโรจน์ เป็นผู้ว่าฯ กลับไปเลือกคุณชัชชาติแทน ดังจะเห็นว่าพรรคก้าวไกลได้คะแนนเสียง ส.ก. รวมกันประมาณ 4.8 แสนคะแนนแต่คุณวิโรจน์ได้คะแนนเสียงเลือกตั้งผู้ว่าฯ เพียง 2.5 แสนคะแนนเท่านั้น

กรณีคุณชัชชาติ นับว่าเป็นปรากฏการณ์ครั้งใหม่ตั้งแต่มีการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. มาเลยก็ว่าได้ ในที่นี้จึงจะขอแสดงทรรศนะส่วนตัวว่า “ปรากฏการณ์ชัชชาติ” เกิดขึ้นได้อย่างไร

ประการแรก คุณชัชชาติเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติดีเยี่ยม มีประวัติการศึกษาดีเด่นมาตั้งแต่เด็ก เป็นนักเรียนทุนอานันทมหิดล คณะวิศกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จบปริญญาโทและเอกจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก เคยเป็นอาจารย์ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และเคยเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม

ประการที่ 2 คุณชัชชาติ ประกาศตัวชัดเจนเป็นคนแรกว่าจะลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าก่อนที่จะรู้ว่าการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นเมื่อใดเสียด้วยซ้ำ การประกาศตัวเร็วก่อนคนอื่นๆเช่นนี้ทำให้มีเวลาเตรียมตัวนานกว่า และมีเวลาลงพื้นที่เพื่อเรียกคะแนนเสียงได้มากกว่านานกว่า

ประการที่ 3 คุณชัชชาติตัดสินใจเป็นผู้สมัครอิสระ น่าจะเป็นเพราะต้องการได้คะแนนเสียงจากผู้มีสิทธิเลือกตั้งกลุ่มอื่นๆ ที่ไม่ใช่ฐานเสียงของพรรคเพื่อไทยด้วย ซึ่งมีคนเป็นจำนวนมากไม่เชื่อว่าคุณชัชชาติเป็นผู้สมัครอิสระอย่างแท้จริง แต่คุณชัชชาติสามารถทำให้ผู้ที่มีอิทธิพลทางความคิดทางฝั่งที่ไม่เอาคุณทักษิณจำนวนหนึ่งเชื่ออย่างสนิทใจว่า คุณชัชชาติไม่เกี่ยวข้องกับคุณทักษิณจริงๆ ทั้งยังเชื่อมั่นว่าคุณชัชชาติไม่มีทางไปยุ่งเกี่ยวกับกลุ่มที่ต้องการล้มสถาบันพระมหากษัตริย์แน่ และไม่เพียงเชื่อ ผู้มีอิทธิพลทางความคิดเหล่านั้นหลายคนยังช่วยโน้มน้าวคนที่ตัวเองรู้จักให้ไปเลือกคุณชัชชาติด้วย

ประการที่ 4 คุณชัชชาติหาเสียงแบบไม่สร้างความขัดแย้งและไม่ชวนทะเลาะกับใคร ซึ่งน่าจะเป็นสาเหตุสำคัญที่ผู้ที่นิยมพรรคก้าวไกล และคนรุ่นใหม่จำนวนมาก ตัดสินใจลงคะแนนให้คุณชัชชาติแทนที่จะลงให้คุณวิโรจน์

ประการที่ 5 ดูจากการรณรงค์หาเสียงของคุณชัชชาติ น่าจะอนุมานได้ว่า คุณชัชชาติมีทีมทำงานที่มีคุณภาพสูง วางแผนและดำเนินการตามแผนได้เป็นอย่างดีกว่าผู้สมัครคนอื่นๆ

ไม่ว่าคุณชัชชาติเป็นผู้สมัครอิสระจริงหรือไม่ก็ตาม สังเกตได้จากปฏิกิริยาของแกนนำพรรคเพื่อไทยและตัวคุณทักษิณเอง แน่ใจได้เลยว่าฐานเสียงของพรรคเพื่อไทยต้องเทคะแนนให้กับคุณชัชชาติ นี่คือความชาญฉลาดของคุณชัชชาติ ที่รู้ว่าไม่จำเป็นต้องร้องขอ คุณทักษิณก็ต้องสั่งให้ลูกพรรคช่วยคุณชัชชาติอยู่แล้ว ทำให้สามารถยืนยันอย่างเต็มปากเต็มคำว่าเป็นผู้สมัคร “อิสระ” จริงๆ

สิ่งที่เราต้องจับตาดูผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครคนใหม่ นอกจากเรี่องการทำตามคำสัญญาก็คือ ใครจะมาเป็นรองผู้ว่าฯ บ้าง จะมีคนที่มาจากพรรคการเมืองใดบ้างหรือไม่ เราต้องคอยดูกันต่อไป