เมื่อวันที่ 2 มิ.ย. ที่รัฐสภา นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทยศรีวิไลย์ กล่าวถึงกรณีที่ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม พร้อมด้วยนายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ และนายรัชพล ศิริสาคร ทนายความชื่อดัง ยื่นหนังสือถึงนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อขอให้ตรวจสอบจริยธรรมว่า สามารถมาร้องเรียนได้ และเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา นายเดชา กิตติวิทยานันท์ ทนายความเข้ายื่นหนังสือถึง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเสรีรวมไทย ในฐานะประธานกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร (กมธ.ป.ป.ช.) เพื่อขอให้สอบจริยธรรมร้ายแรง ตนไม่ได้มีปัญหาอะไร ก็เป็นสิทธิที่จะมาร้องเรียนได้

นายมงคลกิตติ์ กล่าวอีกว่า ชี้แจงว่าเดิมทีตนมูฟออนคดีแตงโมไปแล้ว เพราะจะต้องดำเนินการร่าง พ.ร.บ.สืบสวนสอบสวนคดีอาญา และร่าง พ.ร.บ.เกี่ยวกับสำนักงานทนายรัฐ เพื่อปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมเพื่อภาพรวมของประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการสืบสวน การพิสูจน์หลักฐานและนิติวิทยาศาสตร์ ซึ่งปัจจุบันร่างกฎหมายดังกล่าว ตนได้ให้ฝ่ายกฎหมายของพรรคฯ และฝ่ายกฎหมายสภาฯ ร่างเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยในสัปดาห์หน้าจะสามารถล่ารายชื่อ ส.ส. 20 คน เพื่อเสนอต่อประธานสภาฯ บรรจุระเบียบวาระการประชุมต่อไป

นายมงคลกิตติ์ กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ย้อนไปตั้งแต่เมื่อวันที่ 26 พ.ค. ที่ผ่านมา นางภนิดา ศิระยุทธโยธิน แม่ของแตงโมได้มาขอความอนุเคราะห์พรรคฯ ให้มาช่วยดูแลคดีการเสียชีวิตของแตงโม เพราะแม่พูดกับตนตรงๆ ว่าลูกแม่เสียชีวิตเนื่องจากไม่ใช่อุบัติเหตุ ตนก็สนใจและติดตามเรื่องนี้ตั้งแต่แตงโมเสียชีวิต และดำเนินการมาหลายบทบาท อีกทั้งไม่สามารถละทิ้งได้ คือหน้าที่ของพรรคการเมืองตามข้อบังคับพรรคมีหน้าที่บำบัดทุกข์บำรุงสุขให้ประชาชน พรรคต้องเข้าไปช่วยเหลือทุกสถานการณ์ เป็นหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ และตนดำเนินการตามนโยบายพรรค ทั้งนี้คดีแตงโมเมื่อพรรครับผิดชอบแล้ว ต้องรับผิดชอบให้ถึงที่สุด เราไม่สามารถทิ้งแม่ไปต่อสู้คนเดียวอย่างโดดเดี่ยวเดียวดายได้ เมื่ออัยการส่งฟ้องไปตามสำนวนของตำรวจ ตนเชื่อว่าคนบนเรือได้สารภาพหมดแล้ว แต่ทางเราได้ประชุมหารือร่วมกันว่ามีหลักฐาน แต่ไม่สามารถเปิดเผยได้ เพื่อยืนยันศาลโดยตรงว่าแตงโมถูกทำร้ายได้รับบาดเจ็บจนถึงแก่ชีวิต

“ทนายทุกคน ทั้งทนายเดชา และทนายษิทรา ผมรู้จักและสนิทหมด เราทำเต็มที่เพื่อผู้เสียหาย ไม่อยากใช้กฎหมายประหัตประหารกับฝ่ายตรงข้าม ถ้ายังไม่หยุดแสดงความเห็นเชิงข่มขู่แม่แตงโม ก็จำเป็นต้องพูดคุยกันตรงๆ เนื่องจากรู้จักกัน ส่วนใครจะเห็นว่าผิดก็สามารถยื่นร้องเรียนได้ แต่การที่ทนายเดชาจะกล่าวหาว่าผมเป็นอั้งยี่ซ่องโจร ขอปฏิเสธ เพราะไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น” นายมงคลกิตติ์ กล่าว

นายมงคลกิตติ์ ยังกล่าวต่อด้วยว่า คดีแตงโมเรามองภาพรวมในกระบวนการยุติธรรม และเมื่อตนเข้ามารับผิดชอบแล้ว เราจะไม่สามารถทิ้งแม่แตงโมให้ไปต่อสู้คนเดียวได้ หากแม่แตงโมเป็นอะไรไปตอนนี้ ก็จะไม่มีผู้เสียหายโดยตรงที่จะฟ้องคดีเองได้ ทั้งนี้ยืนยันว่าคนอื่นสามารถให้ความเห็นเชิงสร้างสรรค์ได้ แต่ไม่เห็นด้วยกับการให้ความเห็นในเชิงข่มขู่ เนื่องจากแม่แตงโมความดันสูงและอายุมากแล้ว หากความดันสูงขึ้นแล้วเส้นเลือดในสมองแตกและทำให้เสียชีวิต เราก็จะไม่มีผู้เสียหายในคดีอาญานี้แล้ว

นายมงคลกิตติ์ กล่าวด้วยอารมณ์พร้อมถอดบัตรประจำตัว ส.ส.ออกว่า “หากผมไม่สามารถคุ้มครองแม่ของแตงโมได้ ก็ไม่มีหน้าจะเป็น ส.ส. และคนอย่างผมหากคิดจะสู้ ไม่กลัวอะไรอยู่แล้ว และไม่กลัวจะตรวจสอบคุณสมบัติ ไม่กลัวติดคุก แม้จะถูกตัดสิทธิ 10 ปีก็ยอม หากช่วยให้กระบวนการยุติธรรมดีขึ้น ผมพร้อมจะแลก เพราะยังมีคนอื่นทำหน้าที่แทนตามอุดมการณ์ของพรรคไทยศิวิไลย์ และหากผมผิดจริงไม่ต้องมาตัดสิน เพราะจะลาออกด้วยตนเอง ผมไม่ได้ข่มขู่ทนายเดชา แต่เป็นการตักเตือนกัน และขอให้ไปถามทนายเดชาว่าข่มขู่อะไรผมไว้บ้าง และยืนยันจำเป็นที่จะเป็น ส.ส.ต่อ เพื่อให้ความเดือดร้อนของประชาชนที่ผมดูแลอยู่ผ่านพ้นไปด้วยดี”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในระหว่างนี้นายมงคลกิตติ์ มีน้ำเสียงสั่นเครือคล้ายกับจะร้องไห้อยู่ตลอด

เมื่อถามว่า อยากฝากบอกอะไรกับทนายความเหล่านั้นบ้าง นายมงคลกิตติ์ กล่าวว่า ตนขอฝากไปยังทนายความ 4 คน ว่า ให้ดูด้วยว่า ตนกำลังทำอะไรอยู่และท่านทำอะไรอยู่ เพราะตนพยายามช่วยเหลือแม่แตงโมทุกทางที่ทำได้ แต่ทนายทั้ง 4 คน พยายามระงับกระบวนการยุติธรรม และส่วนตัวไม่โกรธที่จะไปร้องเรียน สามารถทำได้ แต่เสียใจเพราะจะทำให้เสียเวลาในการต่อสู้คดี ขอร้องอย่าวางตะปูเรือใบ หากทำงานนี้เสร็จแล้ว จะลาออกเอง

จากนั้นนายมงคลกิตติ์ ได้อ่านบทกลอนของศรีปราชญ์ ฝากถึงทนายทั้ง 4 คน ว่า “ธรณีนี่นี้เป็นพยาน เราก็ศิษย์มีอาจารย์หนึ่งบ้าง เราผิด 4-5 คน มาประหารเราชอบ เราบ่ผิดท่านมาล้างดาบนั้นคืนสนอง”