หลังจากถูกคำสั่ง ม.44 ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) สั่งปิดเหมืองทองอัครา อ.ทับคล้อ จ.พิจิตร ของบริษัทอัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) ตั้งแต่ปลายปี 60 ทำให้มีพนักงานตกงานนับพันคน จนมีการฟ้องร้องคาอยู่ในอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ เพื่อเรียกค่าเสียหายจากรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ประมาณ 25,000 ล้านบาท และมีการเลื่อนตัดสินชี้ขาดออกไปหลายครั้ง หลังสุดคือวันที่ 31 ม.ค.65 ยังเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด

อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 3 มิ.ย.65 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้ผู้บริหารบริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) เจ้าของเหมืองทองอัครา ได้เริ่มเข้าสู่กระบวนการซ่อมบำรุงโรงงานและเครื่องจักร เพื่อเตรียมความพร้อมในการกลับมาเปิดกิจการอีกครั้งหลังจากหยุดดำเนินการไปเป็นเวลากว่า 5 ปี โดยในเบื้องต้นบริษัทได้แต่งตั้งบริษัทผู้รับเหมาในประเทศไทยที่จะรับผิดชอบการซ่อมบำรุง และเริ่มสั่งซื้อวัสดุอุปกรณ์ที่จำเป็น คาดว่าจะสามารถเริ่มดำเนินการซ่อมบำรุงได้ในเดือน ก.ค.65 น่าจะแล้วเสร็จช่วงปลายปี 65 นำมาซึ่งเม็ดเงินลงทุนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจไทยเป็นจำนวนมาก

เมื่อบริษัทสามารถกลับมาดำเนินการได้อย่างเต็มกำลังแล้ว จะสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไทยปีละกว่า 3,000 ล้านบาท ผ่านการสนับสนุนผู้ประกอบการธุรกิจในประเทศ การชำระค่าภาคหลวงและภาษี การสร้างงานสร้างรายได้ให้แก่ประชาชนในพื้นที่รอบเหมืองกว่า 1,000 ครัวเรือน ตามนโยบายที่มีมาตั้งแต่ต้นบนความตั้งใจที่จะเติบโตไปพร้อมกันกับชุมชนอย่างยั่งยื เพื่อให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมต่อเนื่องจากการทำเหมืองแร่ทองคำตลอดห่วงโซ่การผลิตและสร้างมูลค่าเพิ่มภายในประเทศ ตามกรอบนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ในการบริหารจัดการทรัพยากรแร่ทองคำของกระทรวงอุตสาหกรรม เมื่อเร็วๆ นี้

“บริษัทจึงได้แต่งตั้งผู้ประกอบการภายในประเทศ ที่สามารถสกัดทองคำให้มีความบริสุทธิ์ 99.99% ให้เป็นผู้ดำเนินการสกัดโลหะเงินและทองคำให้แก่บริษัท อันสอดคล้องกับพันธกิจหลักของบริษัทที่ต้องการยกระดับขีดความสามารถของประเทศในการผลักดันให้ประเทศไทยเป็นผู้ผลิตทองคำอย่างครบวงจร บริษัทขอยืนยันว่าได้ปฏิบัติทุกอย่างตามกฎหมาย กฎระเบียบและเงื่อนไขการขอใบอนุญาตที่เกี่ยวข้องถูกต้องครบถ้วนตามกระบวนการที่กำหนด การดำเนินงานของบริษัทไม่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพประชาชนและสิ่งแวดล้อมแต่อย่างใด ซึ่งมีเอกสารวิชาการที่จัดทำโดยคณะบุคคลและหน่วยงานที่เป็นกลางสนับสนุนข้อเท็จจริงนี้เป็นจำนวนมาก โดยผลการประเมินพบว่าการดำเนินงานทุกอย่างของบริษัทปลอดภัยเป็นไปตามมาตรฐานสากล ขณะเดียวกันขอขอบคุณผู้นำชุมชนและประชาชนรอบเหมือง สำหรับความเชื่อมั่นและการสนับสนุนในการกลับมาของบริษัท ด้วยเชื่อว่าบริษัทจะเป็นส่วนสำคัญในการช่วยเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจ สังคมทั้งระดับท้องถิ่นและระดับประเทศท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงต่างๆ” ผู้บริหารบริษัทอัคราฯ กล่าว