เมื่อวันที่ 6 มิ.ย. รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และนักสื่อสารวิทยาศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า บางท่านถามว่า กองทัพมี GT200 ตั้งเจ็ดร้อยกว่าเครื่อง ถ้าผ่าตรวจหมด ก็ใช้งานไม่ได้อีกแล้ว (จริงๆ มันก็ใช้งานไม่ได้อยู่แล้ว) จะเอาไปทำอะไรดี

ผมว่าเอาไปขายเป็น “ที่ตักขี้แมว” แบบ limited edition ก็น่าจะเวิร์กนะครับ ฮะๆๆๆ

ส่วนกรณี นายนิโรธ สุนทรเลขา ส.ส.นครสวรรค์ ในฐานะประธานวิปรัฐบาล แจงงบฯ ตรวจ GT200 เป็นงบฯ ค้างท่อ  ระหว่างสู้ในศาลที่เป็นคดีขึ้นศาลและกองทัพบกต้องใช้หลักฐานการตรวจสอบว่าใช้ไม่ได้จริงไปพิสูจน์ และสู้คดีในศาล โดยอาจต้องมีสถาบันตรวจสอบที่น่าเชื่อถือรับรอง ซึ่งส่งผลแพ้ชนะคดี แต่หากค้างท่อมาแล้วพบว่า ไม่จำเป็นต้องดำเนินการแล้ว กรรมาธิการงบฯ ของสภาฯ ก็พร้อมตัดได้โดยไม่ต้องกังวลในประเด็นนี้

อ.เจษฎา ระบุถึงกรณีดังกล่าวว่า ไม่น่าใช่ “งบค้างท่อ” นะครับ เพราะที่กรมสรรพาวุธ ทหารบก ออกประกาศชวนให้มารับจ้างตรวจสอบ GT200 ทั้งหมดนั้น คือเมื่อ 24 พ.ย. 2564 (และมีการสรุปจัดจ้างในต้นปี 2565 ที่ผ่านมา)

แต่ศาลปกครองกลาง ได้ตัดสินคดีนี้เสร็จสิ้นไปตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย. 2564 แล้วครับ ไม่ได้จะเอาผลไปใช้ต่อสู้ในศาล

ซึ่งในการต่อสู้คดี GT200 นี้ ไม่ว่าที่ศาลไหนก็ตาม ก็มีคำอธิบายเรื่องใช้แค่ผลจากสุ่มตรวจก็เพียงพอแล้ว ทำนองว่า “ส่วนเครื่องที่ไม่ได้ทําการทดสอบ เนื่องจากเป็นเครื่องที่มียี่ห้อ ลักษณะ ชนิด ประเภทและรุ่นเดียวกันกับเครื่องที่สุ่มตรวจ อีกทั้ง ยังเป็นการจัดซื้อเครื่องทั้งหมดจาก ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 บริษัทเดียวเท่านั้น”  ครับ  .. จึงไม่จำเป็นต้องตรวจทั้งหมดทุกเครื่อง

ตอนนี้ ข้อกังขา คงเหลือแค่ว่า นี่คือการเอางบประมาณไปหาเรื่อง “ทำพิธี ทางวิทยาศาสตร์” เพื่อจำหน่ายเครื่องทิ้ง แบบเนียนๆ หรือเปล่าครับ