คงต้องเรียกว่ากลายเป็นข่าวครึกโครม หลังเดินทางกลับจากต่างประเทศ เพื่อมาเคลียร์ตัวเองของ วรินทร วัตรสังข์ หรือ แอนนา ที่ล่าสุดมาเปิดใจหมดเปลือกผ่านรายการ เผ็ดมันส์ บันเทิง พร้อมไล่เรียงข้อเท็จจริงบางส่วนที่แอนนาอยากพูดแบบไม่ปิดบัง ยอมรับไม่ได้เครียดกับคดี แต่เป็นห่วงคุณแม่และพ่อ และเพื่อนสนิทที่โทรฯ มาร้องไห้ทุกวัน

แอนนา เผยว่า “เรื่องหวยทิพย์โดน 3 ข้อหาคือมีข้อหา ฉ้อโกงประชาชน แล้วก้อรับกินรับจ่าย และนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จ ก็เยอะนะ ตอนแรกที่รู้ข่าวเรื่องคดีทั้งหมดจริงๆ เลยวันแรกคือวันที่เผาโมเลย คือ 24 พ.ค. ค่ะ วันที่รู้ข่าวแอนนา นอนอยู่ในเม็กซิโก นอนอยู่แคนคูน กำลังอาบแดดสวยๆ อยู่เลย พี่จี้โทรฯ มา แอนนาหล่อนโดนหมายจับ ก็เลยเลิกอาบแดดวิ่งขึ้นห้องคุยกันว่าเป็นอย่างไร ทางพี่จี้ก็บอกโดนหมายจับเหมือนพี่ต๊ะนั่นแหละ ก็ยังทำใจได้นึกว่าโดนใหญ่กว่านั้น ตอนแรก คราวนี้คนก็สงสัย ว่าทำไมไม่กลับ กลับมาเลยวันนั้นแล้วมาแถลง คือแล้วตอนนั้นแพลนมันคือตั๋วไปเม็กซิโกแล้วไปยุโรป จากยุโรปกลับไทย ถ้าเราเปลี่ยนแพลนทั้งหมด กลับจากเม็กซิโก ค่าตั๋วเครื่องบินอีก 2 แสน เราก็โอเคกลับตามเดิม ให้ทางทนายรายงานตัวกับทางตำรวจก่อน คือทนายอาคม คงสวัสดิ์ ที่ทำคดีให้กับดาราหลายคนทั้งแพทเอย หวย 30 ล้านเอย เป็นทนายที่เก่งมาก เราก็ได้ถามทางทนายว่า คุณอาขาหนูมีสิทธิที่จะโดนอะไรมากมายมั้ย คุณอาเลยบอกว่า คดีนี้มันขาดเจตนา เรารู้หรือป่าวว่าเค้าขายหวยทิพย์ด้วย หนูก็บอกหนูไม่รู้ ถ้าหนูรู้หนูจะทำเหรอ คนในเพื่อนกันยังซื้อเลย เราจะหลอกเพื่อนเราเหรอ ถ้าเรารู้ เพราะเราก็คิดว่า อาชีพขายสลากฯ เป็นอาชีพที่สุจริต ใครก็ขายได้ ก็คิดอย่างนี้”

“เราปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา เพราะมันคือกล่าวหาว่าเราไม่มีสลากฯ จริง ซึ่งในความเป็นจริง เค้าจ้างดิฉันให้เป็นพรีเซ็นเตอร์ เค้าจ้างเราให้เป็นพรีเซ็นเตอร์ ให้รับบทเป็น CEO ที่ผ่านมาไม่ใช่การแสดงหรอก เค้าเรียกว่าดารารับจ้างถือแบรนด์ทั้งนั้นแหละ ปัจจุบันเราต้องยอมรับว่าดารามากมาย ดิฉันนะคะ แบรนด์นี้ของดิฉันเองก็เยอะ เป็นอาชีพที่มีมานานแล้ว ตอนแรกต้องเล่าแบบนี้ ตอนแรกเริ่มเลย เค้าทาบทามมาบอกว่า ถ้าจ้างให้เป็น CEO เนี่ย จะคิดอย่างไรคือบางทีเค้าจ้างดาราออกหน้าให้ฉันรับจ้างเป็นพรีเซ็นเตอร์แค่นั้น จบ เคยเห็นฉันทำมั้ยล่ะ ฉันทำแค่พรีเซ็นต์ ใครมาถามฉันว่า ซื้อยังไงฉันยังไม่รู้เลย ส่วนคนที่เข้าแอพ เห็นแอนนายืนสวยๆ หลายครั้งเลย หลายคนถามแบบนี้ต้องทำยังไงต่อ ยอมรับเลยไม่รู้ ก็จะบอกไปว่าให้เข้าไปถามใน Inbox ของทางทีมงานเอาเอง”

“สำหรับเรื่องพี่นอต ตัวแอนนา ต้องขอขอบคุณด้วยซ้ำที่ออกมาพูดเรื่องนี้ ตัวเราถ้าทำต่อไปเรื่อยๆ ก็จะมีปัญหาอีก เพราะเค้าก็เป็นประธานสมาคมของลอตเตอรี่ออนไลน์ ที่ผ่านมาคือเราไม่รู้อะไรเลย แต่ไม่ใช่ว่ามันจะเป็นสลากฯ ทิพย์นะ เท่าที่เราถามมาจากคนที่เค้าบริหารข้างใน เค้าก็บอกเราว่า สลากฯ มันมีตัวจริง แต่ประเด็นที่มีปัญหาคือ ยี่ปั๊วรายนี้ เค้าเอาสลากฯ มาขาย 2 งวดแล้ว พองวดที่ 3 ที่เค้าจะเอามาขายอีก เค้าส่งตัวสแกนมาก่อน เค้าบอกตัวจริงกำลังมา กำลังจะเดินทางมา พอผ่านไปได้ 2 วัน เค้าก็โทรฯ ถามว่าสลากฯ ตัวจริงยังไม่มาเหรอ เค้าก็หายไปติดต่อไม่ได้ ทางทีมงาน “โชคดี” ก็ไปลงแจ้งความ แล้วก็คืนเงินลูกค้าทั้งหมด ถ้าเราต้องการหรือทางโชคดีตั้งใจจะโกงจริงๆ เค้าก็คงไม่คืนเงิน นี่เค้าก็คืนเงินทั้งหมด ติดต่อไม่ได้แค่ 65 ราย ซึ่งก็ไม่รู้ว่าทำไม 65 คนเหล่านี้ถึงไม่รับโทรศัพท์ หรือไม่มาเอาสลากฯ ใหม่ คือต้องบอกก่อนว่าทาง “โชคดี” เค้าก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ก็โทรฯ คืนเงิน ใครไม่คืนเงินก็เปลี่ยนลอตเตอรี่ไป เข้าใจมั้ย มันก็ไม่ใช่การฉ้อโกงแล้ว”

แอนนา เล่าต่อว่า “ไม่ได้มีเจตนาฉ้อโกงมันจะมีแค่บางคนที่ติดต่อไม่ได้จริงๆ ซึ่งถ้าติดต่อได้ เราก็คืนเงินให้ได้อยู่แล้ว เพราะมันไม่มีความจำเป็นที่เราจะต้องเก็บเงินเอาไว้ เราจะมาเหนียมเงินแค่ 10 บาท 20 บาท กับผลประโยชน์ธุรกิจที่ทำมาหลักล้านเหรอ มันไม่คุ้มอยู่แล้ว คิดตามความเป็นจริงเลยนะ ถ้าเค้าจะโกงหรือว่าออกมาฉ้อโกงประชาชน ในช่วงทีเค้ากำลังกวาดล้างเหรอ ช่วงนั้นเป็นช่วงกวาดล้างลอตเตอรี่เลยนะ โดนปิดไปตั้งกี่บริษัท ใครจะมายืนทำอย่างนั้นอยู่ล่ะ คือก็มีคนถามว่าเจ้าของเป็นใคร ก็ต้องพูดแบบนี้ แอนนาได้รับว่าจ้างผ่านเอเจนซี่ผ่านคนกลาง ดังนั้นเจ้าของเค้าน่าจะมีหลายคน เราก็เลยไม่รู้ว่าใครที่เป็นเจ้าของจริงๆ ถามว่าคดีนี้จะจบยังไง แอนนาว่าเราก็ต้องสู้นะ เราไม่รู้ว่ามันจะจบลงแบบไหน แต่เรารู้ว่าเราไม่ได้ฉ้อโกงประชาชนจริงๆ ที่ผ่านมา เราก็ทำมาหากินโดยสุจริตมาโดยตลอด ดังนั้นก็ไม่มีอะไรน่ากังวลนะ สำหรับตัวพี่นะ ถ้าเราแสดงเจตนา แสดงความจริงให้ศาลเห็นแล้ว แล้วศาลตัดสินในรูปไหนก็ตาม เราก็ต้องยอมรับ เพราะว่านี่คือคำตัดสินของศาล”

“ส่วนที่กังวลตอนนี้คือ กลัวทัวร์มากกว่า กลัวทัวร์ลง คือเล่านะคะตอนนี้ พี่ไม่มีเจตนาจะว่าใครก็ตาม แม้กระทั่งคุณอาสรยุทธ คือเมื่อวานนี้คุณอาสรยุทธลงคลิป เป็นคลิปเกี่ยวกับตอนที่แอนนา เดินมาออกจากเกต ซึ่งตอนเดินมามันจะมีคนเดินมาหลายคน แล้วตอนเดินออกมา คนเค้ารู้อยู่แล้วว่าแอนนามีคดี แล้วเจ้าหน้าที่ยืนอยู่ข้างหน้าเยอะ แล้วตอนเจ้าหน้าที่ถ่ายคน เค้าก็เหมือนเลิ่กลั่กอ่ะ เหมือนเค้าจะติดเข้าไปในคลิปมั้ย ฉันจะกลายเป็นข่าวด้วยหรือป่าว พอเราเดินออกมาพี่ตำรวจเค้าก็ถ่าย เราเลยถามว่าอันนี้ไลฟ์สดอยู่เหรอ เค้าก็บอกว่าไม่ได้ไลฟ์สด เป็นการถ่ายบันทึกการจับกุม แสดงว่าถ้าเป็นบันทึกการจับกุม มันจะไม่แพร่ภาพไปที่สื่อมวลชนใช่มั้ย? เค้าบอกว่าไม่ต้องกลัว นี่อยู่ในบันทึกของตำรวจอย่างเดียว สรุปว่าหลุดหมดเลย คือเข้าใจมั้ยว่าคนที่เดินตามมา เค้าก็ไม่ได้อยากอยู่ในกล้อง ตอนที่จับกุมก็ต้องยอมรับว่า เจ้าหน้าที่ ตม. ก็ไม่ได้ทำอะไรเกินกว่าเหตุเลยค่ะ เค้าไม่ได้ใส่กุญแจมือ เค้าก็แค่แสดงหมายจับ เราก็บอกว่าพี่อย่าเพิ่งถ่ายหนูนะ หนูยังไม่แต่งหน้า ก็เลยขอล่ะ ขอเข้าห้องน้ำก่อน ว่าจะไปแต่งหน้า แต่ก็กลัวเค้ารอนาน ก็เลยขอเปลี่ยนชุดก่อน ก็เลยเปลี่ยนเป็นชุดสีส้ม ก็เลยเหมือนเปลี่ยนชุดเยอะ ก็เป็นการให้เกียรติการมอบตัว ออกจากงวงช้าง 1 ชุด ก่อนบิน 1 ชุด นั่งรถตำรวจอีก 1 ชุด สัมภาษณ์อีก 1 ชุด จริงๆ มีทั้งหมด 5 ชุดนะ ตอนสอบสวนเป็นชุดสายเดี่ยวสีดำ ตอนสัมภาษณ์เป็นแขนยาว”

แอนนา เล่าต่อว่า “เรื่องติดใจอะไรไหม ก็พูดตรงๆ นะคะ โดนหนักมาก ทั้งโดนพาดหัวข่าว แอนนาหนีตูดบาน อดีตโสเภณี งี้ ถามว่าแอนนาโกรธมั้ย เราก็โกรธ ฟ้องมั้ยเราก็ไม่ฟ้อง เพราะเราเข้าใจว่าสื่อเค้าก็ต้องทำงานของเค้า แต่เราแค่ขอความร่วมมือว่า ถ้าจะพาดหัวแบบนี้มันจะเป็นการเหยียดเพศไปมั้ย เหยียดอาชีพ ไม่อยากให้ทำอีก ไม่อยากให้มีเหตุการณ์แบบนี้ซ้ำๆ เพราะว่าเข้าใจมั้ยว่าการเหยียดเพศ เหยียดอาชีพ มันคือสิ่งที่เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงมันได้ เหมือนในอาชีพในอดีตเราทำมันไปแล้วอ่ะ จะให้เรากลับไปแก้เราแก้ไม่ได้ ถ้าคุณบอกว่าวันนี้แอนนาต้องปรับการพูดปรับมายด์เซต แล้วทำให้มันดีขึ้นเราปรับ แต่บอกให้เราแก้ไขอดีต เราแก้ไม่ได้เลย แม่โทรฯ มาร้องไห้ตลอดทุกวัน ตั้งแต่ตอนอยู่เมืองนอก แม่บอกมันเกิดอะไรขึ้น ไหนบอกไปเที่ยว แล้วมันเกิดอะไรขึ้นแบบนี้ ก็อธิบายให้แม่เข้าใจว่าแม่ เรามาพักผ่อน แม่อย่าพูดเรื่องนี้นะ ก่อนหน้านั้นก็พูดกับแม่อยู่แล้วว่าเราเครียด กดดันกับสภาวการณ์หลายๆ เรื่อง ทั้งข่าวเพื่อนด้วย อะไรหลาย ๆ อย่างที่เรานอนไม่หลับเลย เรากินยาวันละ 6 เม็ดเลยนะ ก็รู้สึกว่ามันเยอะเกินไป คือเราก็ไม่ได้หนีหรอก แค่หลบไปพักร้อน”

“พอแม่มาถึงแม่บอกว่าทำไมไม่พูดทั้งหมด ไม่พูดให้หมดเลยว่าใครเป็นเจ้าของ คือคดีมันกระทบกับหลายๆ คน ถ้าจะพูดอะไรมันต้องมีทนาย แล้วทนายเองก็เป็นคนพูดเองว่า อันไหนควรพูด ถ้าจะพูดว่าใครเป็นเจ้าของ ทนายก็ต้องเป็นคนพูด ไม่ใช่เราเป็นคนพูด เรามีหน้าที่คือเล่าความเป็นจริงทั้งหมดให้ทนายฟัง แล้วทนายก็จัดการทั้งหมดกับตำรวจเอง เพราะเราไม่รู้กฎหมาย”