นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง เปิดเผยถึงการดำเนินโครงการคนละครึ่ง เฟส 5 ว่า ความจำเป็นที่จะใช้มาตรการในช่วงที่เศรษฐกิจฟื้นกลับเข้ามา จะต้องลดลง หรือเน้นทำให้ถูกฝาถูกตัวมากขึ้น เพราะจะต้องดูรายได้ของรัฐบาลด้วย จะใช้จ่ายเหมือนเดิมไม่ได้ ซึ่ง พ.ร.ก.กู้เงิน 5 แสนล้านบาท ขณะนี้มีวงเงินเหลือใช้อยู่ 4 หมื่นล้านบาท ซึ่งอาจจะไม่เพียงพอสำหรับใช้ทำโครงการคนละครึ่งเต็มรูปแบบเหมือนเดิม ที่ใช้งบไม่ต่ำกว่าครั้งละ 3-5 หมื่นล้านบาท อีกทั้งพอทำคนละครึ่ง ก็จะต้องมีมาตรการเสริมช่วยบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และกลุ่มเปราะบางอีก เพื่อให้ทุกกลุ่มได้รับความช่วยเหลือแบบเท่าเทียมกัน

“ที่ผ่านมาการทำโครงการคนละครึ่ง หรือเงินเยียวยาต่างๆ จะใช้งบจาก พ.ร.ก.กู้เงิน ไม่ได้นำมาจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี ซึ่งการกู้เงินก็มีเหตุผลที่จะต้องกู้มาเพื่อช่วยเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโควิด แต่เมื่อเศรษฐกิจกำลังฟื้นตัวกลับมา ความจำเป็นในการออกมาตรการอาจจะลดน้อยลงไป และการออกคนละครึ่งจะต้องช่วยเหลือรวมทั้งในกลุ่มบัตรคนจนด้วย ซึ่งใช้งบประมาณค่อยข้างมาก”

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ กระทรวงการคลังได้รับโจทย์จาก นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พลังงาน ให้พิจารณามาตรการช่วยเหลือประชาชนเพิ่มเติม แต่รูปแบบจะเป็นการช่วยเหลือเฉพาะกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากโควิด และราคาพลังงาน ซึ่งคลังกำลังหารือกับสำนักงานสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เพื่อให้ได้ข้อสรุปภายในสัปดาห์ที่ 3 ของเดือน มิ.ย.นี้

“แนวทางช่วยเหลือจะเป็นเฉพาะกลุ่มประชาชนฐานราก อย่างกลุ่มวินมอเตอร์ไซค์ เช่น ช่วยลดค่าใช้จ่าย แต่จะต้องเป็นวินมอเตอร์ไซค์ที่อยู่ในระบบกับกรมขนส่งทางบก ซึ่งมาตรการที่เหวี่ยงแหแบบทั่วไปก็คงลดน้อยลง และในระยะต่อไปรัฐจะต้องหารายได้เพิ่มขึ้นด้วย”