เมื่อวันที่ 14 มิ.ย. ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีหมิ่นประมาทหมายเลขดำ อ.2043/62 ที่ น.ส.พรรณิการ์ หรือ ช่อ วานิช โฆษกคณะก้าวหน้า เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง น.ส.ปารีณา หรือ เอ๋ ไกรคุปต์ อดีต ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาทหมิ่นผู้อื่นโดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 และ 328 ซึ่งจำเลยให้การปฏิเสธ

โดยวันนี้ น.ส.ปารีณา เดินทางมาฟังคำพิพากษา ส่วนโจทก์ไม่ได้มาฟังคำพิพากษา

ศาลพิเคราะห์แล้วมีประเด็นวินิจฉัยว่า ที่จำเลยอุทธรณ์ว่าบัญชีเฟซบุ๊กที่โจทก์นำมาฟ้องนั้นเป็นบัญชีปลอมหรือไม่ เห็นว่าโจทก์มีพยานที่เป็นสื่อมวลชนประจำพรรคอนาคตใหม่ เบิกความว่าได้ติดตามเฟซบุ๊กดังกล่าวของจำเลย มาตั้งแต่ปี 62 ซึ่งเพื่อติดตามทำข่าวนักการเมือง นักเคลื่อนไหว โดยเฟซบุ๊กดังกล่าวมีการถ่ายทอดสดวิจารณ์การทำงานของฝ่ายตรงข้าม ถ่ายทอดสดขณะจำเลยเล่นกับลูกชาย เห็นหน้าตาชัดเจน และหลังจากบัญชีเฟซบุ๊กนั้น ได้โพสต์ข้อความพร้อมภาพถ่ายดังกล่าวแล้ว ก็มีสื่อมวลชนได้ไปติดตามสอบถามกับทางจำเลย ทั้งนี้จำเลยก็ตอบคำถามโดยไม่ปฏิเสธว่าเป็นบัญชีเฟซบุ๊กปลอมแต่อย่างใด และพยานโจทก์ที่เป็นสื่อมวลชน ไม่ได้มีความรู้จักหรือสนิทสนม กับโจทก์เป็นการส่วนตัว ไม่มีเรื่องโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน ส่วนที่พยานเป็นสื่อมวลชนประจำพรรคอนาคตใหม่นั้น เพราะเป็นงานที่ได้รับมอบจากผู้บังคับบัญชา ไม่มีเหตุให้เบิกความเข้าข้างโจทก์ และถึงแม้พยานคนดังกล่าวไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านเฟซบุ๊ก ก็เป็นเรื่องปกติเพราะเมื่อเป็นสื่อมวลชนที่ติดตามทำข่าวของนักการเมือง ก็ต้องทราบโดยอยู่แล้วว่าบัญชีเฟซบุ๊กจริง และควรจะติดตามทำข่าว พยานของโจทก์จึงมีเหตุผลให้รับฟังได้

อุทธรณ์ของจำเลยข้อต่อมา คือ การที่โพสต์ภาพถ่ายลงในเฟซบุ๊ก เป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่าการที่ลงภาพถ่ายของโจทก์และบุคคลอื่นพร้อมมีคำบรรยายใต้ภาพ ทำให้คนที่เข้ามาดูภาพถ่ายทั้งหมดนั้นเข้าใจได้ว่า โจทก์มีส่วนร่วมกับการระเบิดที่เกิดขึ้น และมีคนมาแสดงความคิดเห็นในทางดูหมิ่นเกลียดชังโจทก์ จึงถือว่าเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ตามฟ้อง

ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้น ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วยพิพากษายืน ให้จำคุก น.ส.ปารีณา จำเลย 1 ปี ปรับ 100,000 บาท แต่จำเลยให้การเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาบ้าง ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุก 8 เดือน ปรับ 66,666 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี

ภายหลัง น.ส.ปารีณา ให้สัมภาษณ์ว่า รู้สึกสิ้นหวัง ไม่ใช่เฉพาะคดีนี้คดีเดียว ก็อย่างที่ทุกคนเห็นคดีของตนเอง มีการทำคดีอย่างรวดเร็วแทบจะทุกคดี เช่น เริ่มจาก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดที่อยู่ในความรับผิดชอบภายใน 4 เดือน ส่วนคดีการโพสต์เฟซบุ๊กนี้ ดิฉันเชื่อว่าสื่อมวลชนคงเห็นเฟซบุ๊กปลอมจำนวนมาก และตอนแรกๆ เลยสื่อมวลชนได้ติดตามและนำเฟซบุ๊กปลอมของดิฉันไปทำข่าว เช่น ที่ไปด่าหยาบคายคุณบิณฑ์ บันลือฤทธิ์ และนักร้องสาวชื่อดัง แต่ถ้าติดตามจริงๆ แล้ว จะเห็นว่าดิฉันเป็นสายแซะ กระแนะกระแหน ไม่ได้ด่าหยาบคาย

น.ส.ปารีณา กล่าวต่อว่า คดีนี้ก็ต่อสู้ว่าเป็นเฟซบุ๊กปลอม โดยนำ ผอ.กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) มายืนยันว่า บัญชีเฟซบุ๊กที่นำมาฟ้องร้องนั้นไม่ได้ยืนยันตัวตน ส่วนคุณช่อ นำสื่อมวลชนรัฐสภา 1 ราย ซึ่งรับมอบหมายให้ดูแลพรรคอนาคตใหม่ในรัฐสภามาเบิกความสนับสนุน ซึ่งพยานบอกว่าติดตามบัญชีนี้มีการเปิดวิดีโอ ไลฟ์สด ความจริงแล้วคลิปวิดีโอก็สามารถแชร์ หรือกดบันทึกแล้วเอาไปโพสต์ได้ เพราะฉะนั้นจึงเป็นการต่อสู้ระหว่างพยานทั้งสอง 2 คน เป็นข้อเทคนิคในการใช้เฟซบุ๊ก แต่เมื่อศาลพิพากษาแล้วก็ต้องน้อมรับ ส่วนประเด็นเรื่องการอุทธรณ์สู้คดีนั้น ก็สู้ว่าเคยไปแจ้งความ 2 ครั้ง ว่าเฟซบุ๊กปลอม ที่วันนี้ถือว่าเป็นบรรทัดฐานใหม่ เวลาไปแจ้งความดำเนินดดีกันอย่างน้อยบัญชีนั้นต้องมีการยืนยันตัวตน จึงจะแจ้งความดำเนินคดีกันได้ แต่คดีนี้ศาลรับฟังพยานที่เป็นสื่อมวลชน และเชื่อว่าไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน