กรณีช่วงเช้าวันที่ 16 มิ.ย. นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ และในฐานะที่ปรึกษาผู้ทรงคุณวุฒิคดีแตงโม ออกมาโพสต์รูปภาพเอกสารที่มีเนื้อหาระบุว่า ปลดนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ และนายกฤษณะ ศรีบุญพิมพ์สวย ออกจากที่ปรึกษากฎหมายหัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ ตามที่ได้มีการนำเสนอข่าวมาอย่างต่อเนื่องแล้วนั้น เกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อเวลา 14.00 น. วันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ อาคารมาลีนนท์ ช่อง 3 คลองเตย กรุงเทพฯ ภายหลังนายมงคลกิตติ์ และนายบุญถาวร ออกรายการ โหนกระแส ของช่อง 3 HD เสร็จ ได้ออกมาให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน

“เต้”สั่งปลด “อัจฉริยะ-กฤษณะ” ออกจากที่ปรึกษาก.ม.หัวหน้า “ไทยศรีวิไลย์”

นายมงคลกิตติ์ กล่าวว่า กรณีที่ถอนนายอัจฉริยะ และนายกฤษณะนั้น คือ เคยคุยกับพี่กฤษณะมาหลายรอบแล้วว่าพรรคของเรามีนโยบายในการขับเคลื่อนเรื่องใดก็ต้องปฏิบัติตามไปตามนั้น เพราะทุกคนก็ปฏิบัติตามเราบอกให้ลบก็ต้องลบเราบอกให้ถอยก็ต้องถอย และหยุดก็คือหยุด แต่ถ้าสั่งให้ลบ และหยุด แบบนี้ไม่ได้ เพราะนโยบายพรรคก็คือนโยบายพรรค ส่วนกรณีของนายอัจฉริยะ ที่บอกว่าไม่รู้เรื่องเลยนั้นจริงๆ แต่งตั้งคุณอัจฉริยะ ตั้งแต่วันที่ 19 มี.ค.ที่ผ่านมา ก็ได้เป็นข่าวทุกช่อง แล้วทำไมคุณอัจฉริยะไม่ปฏิเสธตั้งแต่วันนั้น และเพิ่งมาปฏิเสธตอนนี้ทำไม พอแต่งตั้งเสร็จก็มอบเอกสาร ภาพจากกล้องวงจรปิดทั้งลำน้ำให้ทีละชอต เวลาเขาให้สัมภาษณ์ทุกครั้งก็ต้องอ้างอิงถึงตนทุกครั้ง เพื่อป้องกันการโดนข้อหาพยานหลักฐานเท็จ ดังนั้นถ้าจะพูดอะไรก็ควรพูดให้ครบ เพราะอายุไม่ใช่น้อยแล้ว

นายมงคลกิตติ์ กล่าวอีกว่า สำหรับเอกสารที่แฟกซ์ไปที่ศาลจังหวัดนนทบุรีในวันที่ 14 มิ.ย.นั้น มี 2 ฉบับ ทางเจ้าหน้าที่ศาลขอดูหนังสือก่อน แล้วเขาบอกว่าเดี๋ยวค่อยส่งในส่วนที่คุณแม่เซ็นไปให้ ให้หลังกันประมาณครึ่งชั่วโมงเท่านั้นเอง แต่ส่วนที่นายอัจฉริยะ ไปบันทึกประจำวัน ตนมองว่าเขาทราบข้อเท็จจริงอยู่แล้วว่ามันเป็นของจริงหมดทุกอย่าง จึงไม่สามารถดำเนินคดีกับตนได้ และอีกอย่าง การให้สัมภาษณ์ ถ้าตนจะเล่นงานเขา แต่ไม่ทำ เพราะรู้จักกัน

นายมงคลกิตติ์ กล่าวว่า โดยหลักการแล้วพี่อัจฉริยะทำผิด เขาต้องรู้ตัวว่าเขาทำผิด เนื่องจากเขาไม่ให้คุณแม่ดูหลักฐาน ไม่ให้ตรวจสำนวน ไม่ให้ตรวจคำฟ้อง และไม่ให้มีวินิจฉัยรับรู้ทุกๆเรื่อง เพราะว่าก่อนจะฟ้อง โดยตามกฎหมายแล้วได้ระบุไว้เช่นนี้ อีกทั้งสิ่งที่พวกเราตกลงกันไว้ที่สุขุมวิทก็เป็นแบบนั้น แต่เมื่อความเห็นด้านกฎหมายของแม่แปรเปลี่ยนไปตั้งแต่วันที่ 10 มิ.ย.ที่ผ่านมา เพราะแม่ไม่อยากฟ้องฆาตกรรม มาตรา 288 (เจตนาฆ่า) แต่พี่อัจฉริยะกลับไปฟ้องมาตรานี้ ทั้งๆที่รู้อยู่ว่ามันมีโอกาสสูงที่ศาลจะยกตามประมวลกฎหมาย ป.วิอาญา มาตรา 161 (1) แล้วก็ยังขัดกับเจตนาผู้มีอำนาจอย่างคุณแม่ด้วย พี่อัจฉริยะเป็นเพียงผู้รับมอบอำนาจ แล้วทำไมจึงขัดคำสั่งแม่ และก็อย่าลืมว่าน้องแตงโมเป็นลูกของแม่ไม่ใช่ลูกของพี่อัจฉริยะ แล้วผู้เสียหายตาม ป.วิอาญา มาตรา 5 (2) ก็คือคุณแม่

นายมงคลกิตติ์ กล่าวอีกว่า ซึ่งฝ่ายกฎหมายทุกคน พวกเราเคารพการตัดสินใจของคุณแม่ว่าจะฟ้องหรือไม่ฟ้อง พวกเรามีหน้าที่เพียงให้คำแนะนำ แล้วเสนอเป็นช้อยส์ให้ดีที่สุดให้คุณแม่ ว่าข้อดีข้อเสียเป็นอย่างไร อีกทั้งฝ่ายกฎหมาย ทนายความ หรือผู้รับมอบอำนาจพวกเราไม่มีสิทธิไปชี้นำโจทก์ เพราะถ้าไปทำแบบนี้เท่ากับว่าเห็นคุณแม่เป็นตุ๊กตาหรือไม่ ดังนั้นการฟ้องไปแบบนั้นคนที่จะต้องรับผิดชอบคือคนมอบอำนาจ ไม่ใช่คนรับมอบอำนาจ เเละหนังสือมอบอำนาจนั้นก็ไม่ได้ระบุชัดเจนว่าให้ไปฟ้องใคร มันกว้าง จะฟ้องใครก็ได้ ฟ้องนายกรัฐมนตรีก็ได้ ซึ่งแตกต่างไปจากหนังสือของพี่บุญถาวรที่ระบุชัดเจนเลยว่าให้ทำเฉพาะเรื่องนี้ ก็อยากให้เขาเข้าใจว่าหลักการทำงานร่วมทีมเป็นอย่างไร ต้องเคารพความคิดเห็นซึ่งกันและกัน พร้อมยืนยันว่าเรื่องส่วนตัวระหว่างตนกับนายอัจฉริยะไม่มีปัญหา ละทิ้งได้ เพราะคนเรามาเจอกันมันต้องมีบุญวาสนาต่อกัน เจอกันอีกไม่เกินหมื่นวันก็ตายจากกันแล้ว จะไปทะเลาะกันทำไม

นายมงคลกิตติ์ กล่าวเพิ่มว่า ยังคงร่วมงานกับนายอัจฉริยะได้ แต่ที่เกี่ยวกับเรื่องคดีนี้ ที่นายอัจฉริยะ ขอให้ตนถอย ตนก็ถอยแล้ว แต่อัจฉริยะจะถอยอย่างไร ในเมื่อตอนนี้หนังสือมอบอำนาจเก่ามันจะต้องให้ศาลวินิจฉัยเป็นโมฆะก่อนหลังจากนี้ถ้าพี่อัจฉริยะจะไปต่อได้ พี่อัจฉริยะก็ต้องไปคุยกับแม่ ว่าให้แม่ไปฟ้องมาตรา 290 ถ้าพี่อัจฉริยะทำได้ ก็เดินไปกับแม่ได้ แต่ถ้าพี่อัจฉริยะไม่ฟ้องมาตรา 290 มันก็จะขัดใจกัน แล้วการที่พี่อัจฉริยะมาระบุว่าได้ทำการฟ้องมาตรา 290 และมาตราอื่นๆครอบคลุมให้แล้วนั้น อย่าลืมว่ามาตรา 290 อัตราโทษมัน 3-15 ปี แต่มาตรา 288 โทษประหารชีวิต ซึ่งตามกฎหมาย ป.วิอาญา 161(1) ระบุว่า “ถ้าโจทก์มีเจตนายื่นฟ้องต่อจำเลย ให้ต้องโทษเกินกว่าความจำเป็นให้ศาลยก”

ส.ส.เต้ กล่าวว่า แล้วถ้าติต่างว่าศาลรับฟ้องมาตรา 290 แต่ยกมาตรา 288 แล้วอุทธรณ์ไปศาลยกอีก ก็จะทำให้คนที่โดนฟ้องกลับคือคุณแม่ แต่คนรับมอบอำนาจอย่างพี่อัจฉริยะไม่โดน ดังนั้น ใครจะรับผิดชอบ แต่สมมติว่าแม่โอเคกับมาตรา 290 ถ้าเกิดผิดพลาดอะไรขึ้นมา เราก็ต้องบอกว่าข้อผิดพลาดมีอะไรบ้าง และการฟ้องแบบนี้ ถ้าเราไม่ได้ยื่นเอกสารในการค้านหนังสือมอบอำนาจ ซึ่งแม่ต้องการให้เป็นอย่างนั้น สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ ฟ้องไม่ครอบคลุม ฟ้องหลวมศาลยกฟ้อง แล้วถ้าศาลยกฟ้อง คดีของอาทิตย์หน้าของอัยการจังหวัดนนทบุรีก็จบแล้ว แล้วถ้าไปอุทธรณ์ ปกติแล้วก็ยืนตามศาลชั้นต้น ก็จะทำให้คนบนเรือรอด แตงโมตายฟรี ตนมองว่าพี่อัจฉริยะดูข้อกฎหมายไม่รอบด้านหรือไม่ หรือมีเจตนาพิเศษหรือไม่ที่ไม่บอกกล่าวพวกเรา

ทั้งนี้ นายมงคลกิตติ์ยังระบุอีกว่า ตอนนี้คุณแม่เก่งกฎหมายมาก เพราะคุณแม่เจอสถานการณ์แบบนี้ คุณแม่ต้องซื้อ ป.วิอาญา มานั่งอ่านเองแล้ว

นายบุญถาวร เปิดเผยว่า ตอนนี้หนังสือมอบอำนาจที่คุณแม่มอบให้ตน ก็อยู่กับตนแล้ว เพราะขึ้นอยู่กับคุณแม่ว่าคุณแม่จะให้ตนเดินต่อหรือถอยหลังในการทำคดีนี้ แต่ตนก็ทำในนามของ ส.ส.เต้ แต่หลักๆคือคุณแม่ขอพิจารณาเรื่องราวทั้งหมดก่อนสัก 2-3 วัน และยืนยันว่าคุณแม่ไม่เอาคำฟ้องของนายอัจฉริยะที่ยื่นไป เพราะถ้าเอา คุณแม่มีสิทธิถูกฟ้องกลับได้เลยในตอนนี้ เนื่องจากเป็นการฟ้องเกินความเป็นจริง แต่มองว่าคุณแม่รอด เพราะคุณแม่ได้แสดงเจตนารมณ์ตั้งแต่ต้นว่าไม่เอามาตรา 288 ซึ่งตอนนี้คุณแม่ก็รอวันที่ 20 ก.ค.นี้ เพื่อยืนยันจากศาลว่าหนังสือมอบอำนาจมันกว้าง และไม่ได้บอกให้ฟ้องบุคคลบนเรือทั้ง 5 คน ทั้งนี้ คุณแม่ก็ลำบากใจมากสำหรับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่คุณแม่ก็ยืนยันว่าจะดำเนินคดีในฐานความผิดมาตรา 290 เป็นหลัก และคำฟ้องของนายอัจฉริยะก็ไม่ชอบด้วยกฎหมายจะนำมาใช้ไม่ได้ ต้องการให้ศาลสั่งเป็นโมฆะแล้วค่อยยื่นฟ้องใหม่ และพยานหลักฐานเกี่ยวกับฐานความผิดมาตรา 290 ก็มีพร้อมเรียบร้อยแล้ว ซึ่งคุณแม่เห็นแค่ความผิดในขั้นของมาตรา 290 แต่เกินกว่านั้นคุณแม่ไม่เห็น ขณะนี้ก็รอเพียงวันที่ 20 ก.ค.นี้ ที่ศาลจะไต่สวน ยกเลิก ทำให้คำฟ้องและหนังสือมอบอำนาจนั้นเป็นโมฆะ

นายมงคลกิตติ์ กล่าวเสริมว่า สิ่งที่ตนกังวลก็คือการที่นายอัจฉริยะทำเป็นการละเมิดอำนาจศาล และทนายความที่เซ็นท้ายร่างคำฟ้อง ผิดมรรยาททนายความ มันผิดจริง ไม่ได้พูดเล่น และใครที่จะฟ้องมาตรา 288 ได้ จะต้องมีคลิปขณะที่มีการทำร้ายกันบนเรือ และต้องเป็นคลิปที่ชัดเจน มีพยานบุคคลยืนยัน หรือคนบนเรือ 1 คนเป็นพยาน แบบนี้เขาเรียกประจักษ์พยาน จึงจะทำให้ฟ้องมาตรา 288 ได้

ส่วนกรณีที่นายอัจฉริยะได้ขอให้อัยการดาวหยุดชี้นำสังคมมนเรื่องคดีแตงโมนั้น นายมงคลกิตติ์ กล่าวว่า ตนมองว่าท่านอัยการดาว ก็เป็นอัยการจังหวัดนนทบุรี ก็คงอธิบายไปตามข้อกฎหมาย อธิบายไปตามข้อเท็จจริง ซึ่งท่านอัยการดาวก็ยังไม่ได้มีความผิดอะไร ตนจึงขอให้อย่าไปอะไรกับเขาเลย เขาหวังดีแค่นั้นเอง

นายมงคลกิตติ์ ได้ทิ้งท้ายว่า ถ้านายอัจฉริยะไม่ชิงฟ้องไปก่อน เราก็คงดำเนินการฟ้องในวันที่ 16 มิ.ย. ซึ่งก็คือวันนี้ตามที่เคยกำหนดไว้ได้ และล่าสุดทางดีเอสไอได้ตรวจสอบผ้าผูกเอวสีขาวแล้วทราบว่า เบื้องต้นเป็นเลือดคน แต่ยังไม่ได้มีการระบุว่า เป็นเลือดของใคร ก็คงต้องรออีกประมาณ 20 วัน จึงจะทราบว่าเป็นเลือดของแตงโมหรือไม่ ทั้งนี้ยืนยันว่าตนไม่ได้ทิ้งแม่ ให้ทางพรรคดูแลแม่ตามคำสั่งเดิม แต่ตนขอเบรกรักษาเอนหลังก่อน