จากกรณีที่ นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ หรือ “ส.ส.เต้” ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ และ นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ได้ประกาศถอนตัวไม่ไปเกี่ยวข้องหรือช่วยเหลือเรื่องคดีกับ นางภนิดา ศิระยุทธโยธิน แม่ของดาราสาว “แตงโม ภัทรธิดา พัชรวีระพงษ์” อีกต่อไป เนื่องจากความเห็นไม่ตรงกันในหลาย ๆ เรื่องตามที่ปรากฏเป็นข่าวไปแล้วนั้น

เกี่ยวกับเรื่องนี้เมื่อวันที่ 17 มิ.ย. นายเดชา กิตติวิทยานันท์ หรือ ทนายเดชา อดีตทนายความของนางภนิดา ได้เปิดเผยว่า ตอนนี้ “แพแตกอย่างสมบูรณ์แล้ว” แตกทั้งหน้า น้ำตาก็แตก อย่างโคนันถึงกับสะอึกสะอื้น เสียดายที่ไม่ได้ทำคดี แสดงว่าคดีแตงโมนี่มันมีผลประโยชน์เยอะ เพราะถึงกับมีคนร้องไห้ เนื่องจากเขาอยากทำต่อ ถึงขนาดแอบไปฟ้องศาลเอง และเท่าที่ตนได้พูดคุยกับนางภนิดาเมื่อคืนนี้ นางภนิดาระบุกับตนว่า สาเหตุที่คุณแม่ไม่ยินยอมให้เขา (นายอัจฉริยะ) ฟ้องคดี เพราะเขาไม่มีหลักฐานอะไรที่แสดงถึงการฆาตกรรม เวลาคุณแม่ขอดูหลักฐาน เขาก็ไม่ให้ดู เพราะ อัจฉริยะไม่มีอะไรเลย ไม่มีหลักฐานการฆาตกรรม ใครแทง หรือเหตุการณ์บนเรือ เขาไม่มีเลย นอกจากคลิปกล้องวงจรปิดที่ ส.ส.เต้ เคยไปเอามาจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิต แค่นั้นเอง เขาไม่ได้มีหลักฐานอะไรตามที่คุยโม้โอ้อวด

ทนายเดชา วิเคราะห์ถึงสาเหตุที่ทำให้นายอัจฉริยะมั่นใจจนนำไปสู่การฟ้องคดีเองด้วย มาตรา 288 ว่า เขาก็คงอยากมีชื่อเสียง อยากมีพื้นที่สื่อ เพราะตอนนี้ นายอัจฉริยะ ก็เป็นเหมือนฮีโร่ออนไลน์ เป็นผู้นำคดีฆาตกรรม อีกทั้งยังเป็นคนเดียวที่บอกว่าตัวเองมีหลักฐานการฆาตกรรม ไลฟ์สดในยูทูบก็พูดชัดว่า “ผมรู้แล้วว่าใครเป็นคนฆ่า” “ใครเป็นคนกรีดขา” ซึ่งการนำเข้าข้อมูลลักษณะนี้ มันไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง ซึ่งคุณแม่ก็ได้บอกเหมือนกันว่าเขาไม่มีหลักฐานอะไรพวกนี้มาให้เลย

ส่วนเรื่องหนังสือมอบอำนาจของนายอัจฉริยะที่ทางนายมงคลกิตติ์ ระบุว่า ความหมายมันกว้าง ไม่ได้ระบุว่า ให้นายอัจฉริยะไปใช้ฟ้องมาตรา 288 กับคนบนเรือ ต่างจากหนังสือมอบอำนาจของคุณบุญถาวร ที่มีการระบุชัดเจนว่าให้ดำเนินการฟ้องคนบนเรือได้นั้น ทนายเดชา ระบุว่า ลักษณะหนังสือมอบอำนาจในการดำเนินคดี ถ้าในทางกฎหมายการมอบอำนาจให้ดำเนินคดีนั้นไม่จำเป็นต้องระบุตัวบุคคลว่าใครจะต้องถูกฟ้อง ไม่จำเป็นต้องระบุข้อหา ไม่จำเป็นต้องระบุจำนวนครั้งหรือระบุศาล ไม่มีความจำเป็นเลย และคนเหล่านี้ที่ให้สัมภาษณ์ก็เป็นคนที่ไม่ได้เรียนจบกฎหมาย แต่เป็นคนที่เรียนจบวิศวะ แล้วมาทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษากฎหมาย เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง

อย่างไรก็ตาม ตามมารยาทแล้ว ถึงแม้นายอัจฉริยะจะไม่ได้เป็นทนาย ถ้าจะฟ้องคดีฆ่าคนตาย ซึ่งเป็นคดีร้ายแรง นายอัจฉริยะจะต้องนำเอาคำฟ้องไปให้คุณแม่ตรวจก่อน แต่อยู่ ๆ ไปแอบยื่นฟ้อง ถือเป็นเรื่องไม่เหมาะสม ซึ่งอาจจะถูกดำเนินคดีกลับในภายหลังได้ ทั้งนายอัจฉริยะและคุณแม่ ดังนั้น การรับข้อมูลข่าวสารควรรับรู้จากผู้ประกอบวิชาชีพทนายความ หรือคนที่จบกฎหมาย

ทนายเดชา เผยถึงการได้โทรศัพท์พูดคุยกับคุณแม่แตงโมเมื่อคืนว่า คุยกันแบบเพื่อน โดยคุณแม่ได้เล่าให้ฟังว่า คุณแม่ไม่เอาอัจฉริยะแล้ว เพราะอัจฉริยะเขาชอบด่าแม่ ใส่ร้ายแม่ แล้วทำอะไรก็ไม่เหมือนกับที่คุยโม้ไว้ หลักฐานก็ไม่มีจริง เป็นเรื่องโกหกทั้งสิ้น ส่วนทางด้าน ส.ส.เต้ คุณแม่ก็ไม่เอาแล้ว เพราะ ส.ส.เต้ เป็นนักการเมือง ไม่ใช่นักกฎหมาย เวลาจะปรึกษาอะไรก็ต้องไปหาคนอื่นอีกทีหนึ่ง มันวุ่นวาย และวัน ๆ ก็เน้นพื้นที่สื่อ แจ้งหมายข่าวแม่วันละ 4-5 หมาย แม่เหนื่อย เหมือนใช้แม่เป็นเครื่องมือ สร้างชื่อเสียงคะแนนนิยม ซึ่งทนายความคนใหม่ก็จะเป็นทนายความที่ไม่ออกสื่อ