เมื่อวันที่ 18 มิ.ย. ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก พนักงานสอบสวนกองกำกับการ 4 กองบังคับการปราบปราม (กก.4 บก.ป.) ได้นำตัวนายสันติ ศุภอภิรดีไพลิน อายุ 35 ปี ชาว จ.เชียงใหม่ ผู้ต้องหาคดีฆ่า 2 สามีภรรยาที่ประเทศไต้หวัน มายื่นคำร้องฝากขังครั้งแรก เนื่องจากการสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้นโดยจะต้อง รอผลการตรวจสอบประวัติพิมพ์มือและประวัติการต้องโทษของผู้ต้องหา รอผลการตรวจพิสูจน์ของกลาง, รอพยานหลักฐานจากสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน), สอบพยานเพิ่มเติมอีก 20  ปาก ด้วยความจำเป็นดังกล่าวจึงขอฝากขังผู้ต้องหานี้มีไว้ 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 18-29 มิ.ย. นี้

โดยพนักงานสอบสวน กก.4 บก.ป กองปราบฯ ระบุในคำร้องสรุปว่า เมื่อวันที่ 4 มิ.ย 65 เจ้าหน้าที่ตำรวจไต้หวันได้รับแจ้งจากประชาชนว่า พบร่างผู้เสียชีวิต 2 ราย ภายในรถยนต์ยี่ห้อ BMW SUV ทราบชื่อผู้เสียชีวิตคือ นายประเสริฐ โนราษ อายุ 31 ปี และ น.ส.พจนีย์ แซ่หลี่ อายุ 35 ปี ซึ่งกำลังตั้งครรภ์ลูกฝาแฝด สองสามีภรรยาชาวไทย จากการสืบสวนสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจไต้หวันทราบว่า เมื่อวันที่ 4 มิ.ย.2565 เวลา 22.00 น. (เวลาท้องถิ่น) นายประเสริฐ และ น.ส.พจนีย์ ได้ขับรถยนต์เดินทางมาพบผู้ต้องหาที่สำนักงานของผู้ต้องหาที่เกิดเหตุ โดยได้จอดรถบริเวณลานจอดรถแบบเสียค่าธรรมเนียม ซึ่งเป็นลานจอดรถถนนเหยี่ยนโซ่ว เขตเฉิง เมืองซินเป่ย สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) น.ส.พจนีย์ ได้เดินเข้าไปพบผู้ต้องหา หลังจากที่จอดรถยนต์แล้ว จากนั้น ผู้ต้องหาได้ใช้ท่อนไม้เป็นอาวุธตีทำร้ายที่บริเวณศีรษะของ น.ส.พจนีย์ จนเสียชีวิต จากนั้นนายประเสริฐ ก็ได้เข้าไปพบผู้ต้องหา เมื่อ นายประเสริฐ เข้าไปพบนายผู้ต้องหา ก็ได้ใช้ท่อนไม้เป็นอาวุธที่ทำร้ายที่บริเวณศีรษะของนายประเสริฐ จนเสียชีวิตอีกคน จากนั้น ผู้ต้องหาได้นำศพของผู้ตายทั้งสองใส่ไว้ในรถยนต์ยี่ห้อ BMW SUV ซึ่งเป็นของผู้ตาย แล้วได้ขับรถยนต์คันดังกล่าวมาจอดทิ้งไว้ที่บริเวณลานจอดรถสถานีรถไฟฟ้าความเร็วสูงเถาหยวน เขตเถาหยวน เมืองซินเป่ย สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน)

ผบ.ตร. แถลงจับ ‘สันติ’ มือฆ่าผัวเมีย-ลูก ทูตตำรวจไต้หวัน ชื่นชมทำงานเร็ว

ทั้งนี้จากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดของเจ้าหน้าที่ตำรวจไต้หวันที่บริเวณสำนักงานที่เกิดเหตุ และบริเวณลานจอดรถที่พบศพของผู้ตายทั้งสองคน มีหลักฐานเชื่อว่า ผู้ต้องหาเป็นผู้ก่อเหตุลงมือฆ่าผู้ตายทั้งสองจนเสียชีวิตแล้วหลบหนีเข้ามายังประเทศไทย เมื่อวันที่ 10 มิ.ย.65 เนื่องจากคดีนี้เป็นการกระทำความผิดนอกราชอาณาจักร ผู้กระทำความผิดเป็นคนไทย ผู้เสียหายได้ร้องขอให้ลงโทษ และความผิดนั้นเป็นความผิดต่อชีวิต พนักงานสอบสวนจึงได้รวบ ขออำนาจศาลอาญาอนุมัติหมายจับ ผู้ต้องหาที่ จ.1155/2565 ลงวันที่ 14  มิ.ย.2565 ต่อมาวันที่ 17 มิ.ย.2565 เจ้าหน้าที่ตำรวจไต้หวันได้แจ้งข้อมูลสืบสวนเพิ่มเติมทราบว่า จากการตรวจสอบกล้องวงจรปิด พบว่าผู้ต้องหา ได้ร่วมกันกับนายสามารถ และ นายธนวัฒน์ วางแผนแบ่งหน้าที่กันและไตร่ตรองไว้ก่อนเพื่อฆ่า นายประเสริฐ และ น.ส.พจนีย์ โดยในวันเวลาเกิดเหตุ ได้รออยู่ในสำนักงานที่เกิดเหตุและผู้ต้องหาเป็นผู้ติดต่อให้ผู้ตายทั้งสอง เข้ามาในสำนักงานดังกล่าว แล้วร่วมกันใช่ท่อนเหล็กเป็นอาวุธตีที่ศีรษะของทั้งสอง จนถึงแก่ความตาย และผู้ต้องหาได้ใช้รถยนต์คันดังกล่าว นำศพของผู้ตายไปจอดทิ้งไว้บริเวณลานจอดรถสถานีรถไฟฟ้าความเร็วสูงเถาหยวน ก่อนเดินทางกลับประเทศไทย พร้อมกับโดยจองตั๋วเครื่องบินไว้ล่วงหน้า

ต่อมาผู้ต้องหาได้หลบหนีหมายจับมาพักอาศัย อยู่ที่ บริเวณ อ.ไชยปราการ จ.เชียงใหม่ กระทั่งวันที่ 17 มิ.ย. 2565 เวลาประมาณ 09.00 น. นายสุชาติ ศุภอภิรดีไพลิน บิดาของผู้ต้องหา ได้นำตัวผู้ต้องหามาเข้ามอบตัวกับเจ้าหน้าที่ชุดจับกุม กก.4 บก.ป. ที่หมวดมวลชนสัมพันธ์ กองร้อยตำรวจตระเวนชายแดนที่ 335 ต.เมืองมะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ เจ้าหน้าที่ได้แสดงหมายจับของศาลอาญา ให้ผู้ต้องหาดูและให้อ่านเองจนเป็นที่เข้าใจดีแล้ว ซึ่งผู้ต้องหารับว่าเป็นบุคคลตามหมายจับจริงและไม่เคยถูกจับกุมมาก่อน จึงแจ้งข้อกล่าวหา “ฆ่าคนตายโดยเจตนา” และ แจ้งสิทธิให้แก่ผู้ต้องหาทราบ

ชั้นสอบสวน ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา เหตุเกิดที่ สำนักงานเช่า ถนนเหยี่ยนโซ่ว เขตเฉิง เมืองซินเป่ย สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) เมื่อวันที่ 4 มิ.ย 2565 เวลาประมาณ 22.01 น. (เวลาท้องถิ่น) เวลาประเทศไทย ประมาณ 21.00 น.

การกระทำของผู้ต้องหา เป็นความผิดข้อหา “ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน” ตามประมวลกฎหมาย อาญามาตรา 4 ก (4), 23, 289 (4)

ท้ายคำร้องพนักงานสอบสวนขอคัดค้านการประกันตัวผู้ต้องหา เนื่องจากคดีมีอัตราโทษสูง มีการก่อเหตุนอกราชอาณาจักร โดยผู้ต้องหาลงมือกระทำความผิดอย่างโหดเหี้ยม เป็นคดีอุกฉกรรจ์สะเทือนขวัญทั้งที่ประเทศไต้หวันและในประเทศไทย คดีเป็นที่สนใจของประชาชน ภายหลังลงมือก่อเหตุผู้ต้องหากับพวกหลบหนีความผิดมายังประเทศไทย เพื่อจะหลบหนีต่อไปยังประเทศที่ 3 ประกอบกับทางการสืบสวนสอบสวนทราบว่า ผู้ต้องหามีการร่วมกระทำ ความผิดกับผู้ต้องหาอีก 2 ราย ซึ่งอยู่ระหว่างหลบหนี และพนักงานสอบสวนกำลังพิจารณาขอศาลออกหมายจับเพิ่มเติม หากปล่อยตัวไปเกรงว่าผู้ต้องหาจะหลบหนี และไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน หรือก่อเหตุร้ายประการอื่น

ศาลพิจารณาคำร้องและสอบถามผู้ต้องหาแล้วไม่คัดค้าน จึงอนุญาตให้ฝากขังได้

ผู้สื่อข่าวรานงานว่า ล่าสุด 15.00 น. ยังไม่มีการยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหา อย่างไรก็ตาม สามารถยื่นคำร้องขอประกันตัวผู้ต้องได้จนถึงเวลา 16.30 น. หากครบกำหนดแล้ว เจ้าหน้าที่ราชฑัณฑ์จะนำตัวผู้ต้องหาไปคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ รอดำเนินการตามกฎหมายต่อไป