นายนิตินัย ศิริสมรรถการ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. เปิดเผยว่า ขณะนี้อาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 (Satellite 1 : SAT1) ก่อสร้างแล้วเสร็จ และเตรียมเปิดให้บริการเดือน เม.ย.66 พร้อมกับการเปิดให้บริการรถไฟฟ้าขนส่งผู้โดยสารอัตโนมัติ (Automated People Mover : APM) หรือรถไฟฟ้าไร้คนขับ ซึ่งจะเดินรถให้บริการรับ-ส่งผู้โดยสารฟรีระหว่างอาคาร SAT1 และอาคารผู้โดยสารหลัก ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) ถือเป็นครั้งแรกในประเทศไทยที่มีการนำรถไฟฟ้าไร้คนขับมาให้บริการรับ-ส่งผู้โดยสารภายในท่าอากาศยาน

นายนิตินัย กล่าวต่อว่า ปัจจุบัน ทอท. ยังคงนำรถไฟฟ้า APM รุ่น Airval ซึ่งเป็นรถไฟฟ้าล้อยาง ทั้ง 6 ขบวน 12 ตู้ ที่ขนส่งมาจากกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย สลับกันมาทดสอบเดินรถทุกขบวนอย่างต่อเนื่องจนกว่าจะเปิดให้บริการ เพื่อให้มั่นใจว่าระบบมีความเสถียร แม่นยำ ตรงต่อเวลา และปลอดภัย โดย 1 ขบวน จะมี 2 ตู้ สามารถขนส่งผู้โดยสารได้มากถึง 210 คนต่อขบวน หรือประมาณ 5,900 คนต่อชั่วโมง (ชม.) ซึ่งจะใช้ความเร็วในการเดินรถสูงสุดที่ 80 กิโลเมตร (กม.) ต่อ ชม. ทั้งนี้จากการทดสอบเดินรถอย่างต่อเนื่องนั้น ยังไม่พบปัญหาใด

นายนิตินัย กล่าวอีกว่า สำหรับอาคาร SAT1 มีพื้นที่ 2.16 แสนตารางเมตร (ตร.ม.) สูง 4 ชั้น มีชั้นใต้ดิน 2 ชั้น ประกอบด้วย ชั้น B2 รถไฟฟ้า APM ชั้น B1 งานระบบ ชั้น G ระบบสายพานลำเลียงกระเป๋า ชั้น 2 ผู้โดยสารขาเข้า ชั้น 3 ผู้โดยสารขาออก และชั้น 4 ร้านค้า ร้านอาหาร มี 28 หลุมจอดอากาศยาน รองรับผู้โดยสารได้ 15 ล้านคน ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารของ ทสภ. จากปัจจุบัน 45 ล้านคน เป็น 60 ล้านคนต่อปี และรองรับเที่ยวบินได้เพิ่มขึ้นจากประมาณ 60-63 เที่ยวบินต่อชั่วโมง (ชม.) เป็น 68 เที่ยวบินต่อ ชม.

นายนิตินัย กล่าวด้วยว่า ช่วงเดือน พ.ย.นี้ ทอท.จะแจ้งให้ผู้ประกอบการเข้ามาตกแต่งร้านค้า และร้านอาหารในส่วนของพื้นที่เชิงพาณิชย์ เพื่อให้แล้วเสร็จและพร้อมเปิดให้บริการได้ทันในเดือน เม.ย.66 ขณะเดียวกันขณะนี้เริ่มเจรจาเบื้องต้นกับสายการบินที่จอดเครื่องบินอยู่โดยรอบอาคาร SAT1 ตั้งแต่ช่วงเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 แล้ว เพราะต้องย้ายเครื่องบินเหล่านี้ไปจอดในพื้นที่อื่นเมื่อเปิดใช้งานอาคาร SAT1 ซึ่ง ทอท. ได้จัดเตรียมพื้นที่บริเวณที่จะใช้สร้างอาคาร SAT2 ไว้ให้จอดทดแทน โดยสามารถรองรับการจอดเครื่องบินได้ 28-29 ลำ หลังจากนี้ต้องดำเนินการเคลื่อนย้ายต่อไป

นายนิตินัย กล่าวอีกว่า ขณะนี้เริ่มเห็นสัญญาณบวกของปริมาณผู้โดยสารที่กลับเข้ามาในไทย โดยตารางบินฤดูหนาวคาดว่าผู้โดยสารจะใช้บริการไม่ต่ำกว่า 60-70% ของขีดความสามารถอาคารผู้โดยสารหลักที่รองรับ 45 ล้านคนต่อปี และจะเพิ่มขึ้นอีกช่วงตารางบินฤดูร้อน ตั้งแต่เดือน เม.ย.66 เป็น 85% ของขีดความสามารถ หรือเฉลี่ยมากกว่าวันละ 1 แสนคน ทำให้จะเกิดความแออัดทั้งพื้นที่ส่วนกลาง เคาน์เตอร์เช็กอิน และหลุดจอดอากาศยาน ดังนั้นจึงเป็นช่วงเวลาเหมาะสมที่จะเปิดให้บริการอาคาร SAT1 มารองรับ.