เมื่อวันที่ 20 มิ.ย. นายสุรเดช จิรัฐิติเจริญ ส.ว. ในฐานะกรรมาธิการ (กมธ.) การคมนาคม วุฒิสภา เปิดเผยว่า ในการประชุมวุฒิสภา วันที่ 21 มิ.ย. ทาง กมธ.คมนาคม จะเสนอรายงานพิจารณาศึกษา แนวทางการบริหารและจัดการเดินรถในโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวซึ่งตนเป็นประธานคณะทำงาน ทั้งนี้ยอมรับว่าในรายงานดังกล่าวไม่มีข้อสรุปที่ชี้ชัดให้แก้ปัญหาดังกล่าวในทิศทางใด แต่มีข้อเสนอใน 2 แนวทาง คือ 1.กรณีขยายสัญญาสัมปทาน และ 2.กรณีไม่ขยายสัญญาสัมปทาน พร้อมเสนอข้อดีและข้อเสีย

“การเสนอรายงานของกมธ.คมนาคมต่อที่ประชุมวุฒิสภา เพื่อรับฟังความเห็นของ ส.ว.ท่านอื่นเพื่อให้รายงานมีความรอบคอบ จากนั้นจะขออนุมัติที่ประชุมก่อนเสนอต่อรัฐบาลต่อไป อย่างไรก็ดีผมมองว่าเนื้อหาของรายงานจะเป็นประโยชน์หากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งกทม. และ นายธงทอง จันทรางศุ ประธานกรรมการบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด หรือเคที คนใหม่ รับไปพิจารณาประกอบการตัดสินใจ” นายสุรเดช กล่าว

เมื่อถามถึง กรณีที่มีการปรับบอร์ดบริษัท กรุงเทพธนาคมฯ ล่าสุด นายสุรเดช กล่าวว่า ตนเชื่อว่านายธงทอง และบอร์ดเคทีจะช่วยแก้ปัญหาเกี่ยวกับการเดินรถบีทีเอสได้ ตามแนวทางและนโยบายของนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครได้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าสำหรับแนวทางการบริหารและจัดการเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียว ที่คณะทำงานใน กมธ.การคมนาคม เสนอ มีสาระสำคัญ คือ กรณีขยายสัญญาสัมทาน ระบุผลการพิจารณา ประชาชนจะได้รับความสะดวกในการเดินทางจากการเดินรถต่อเนื่อง ไม่ต้องเปลี่ยนขบวน, โครงการฯ มีเอกภาพในการบริหารและจัดการเดินรถ, จัดเก็บค่าโดยสารใช้โครงสร้างเดียวกันตลอดสาย, กทม.สามารถแก้ปัญหาภาระหนี้สินได้, ลดงบประมาณแผ่นดินเพื่ออุดหนุนค่าโดยสาของโครงการ

กรณีไม่ขยายสัญญาสัมปทาน ระบุว่าการขอขยายสัญญา ไปอีก 30 ปี ต้องพิจารณาหนี้ที่บริษัทระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ บีทีเอสซี จะรับไปเมื่อเทียมกับอัตรารายได้จากการทำโครงการ, ระยะเวลาขอสัญญาสัมปทานมีเวลาอีกหลายปี เพียงพอที่คณะกรรมการจะพิจารณาให้รอบคอบทุกมิติ, การขยายสัญญาให้เอกชนเพียงรายเดียวแบบเจาะจง ขณะที่โครงการมีมูลค่าสูง อาจไม่เป็นไปตามหลักการของกฎหมายร่วมทุน, หากมีการลงนามในสัญญาร่วมทุนและอนาคตคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีผลพิจารณาว่า กทม. ทำสัญญาจ้างบริษัท ทีบีเอสซี ไม่สามารถทำได้ อาจทำให้เกิดมีปัญหาตามมา

นอกจาก นี้ในรายงาน ยังระบุถึงข้อเสนอต่อการบริหารโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวเพื่อเกิดประโยชน์ และเพิ่มประสิทธิภาพในการอำนวยความสะดวกให้ประชาชน รวมถึงประหยัดค่าโดยสาร ว่า 1.รัฐบาลต้องหาข้อยุติโดยเร็วว่าจะต่อสัญญาสัมปทานให้กับบริษัทบีทีเอสซีหรือไม่ โดยต้องตอบโจทย์ประชาชน, ข้อกฎหมาย, ราคาค่าโดยสารและภาระหนี้สิน 2.กรณีที่จะรอให้อายุสัมปทานหมดในปี 2572 แล้วดำเนินการประมูลตามกฎหมายร่วมทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 ต้องพิจารณาการจัดเก็บค่าโดยสารจากการเดินรถ ซึ่งเดินบริษัทบีทีเอสซี ในฐานะผู้ให้บริการเดินรถส่วนต่อขยายที่ 2 ทั้งส่วนเหนือและส่วนใต้ ทั้งนี้หากต่อสัญญาสัมปทาน ประชาชนจะเสียค่าโดยสาร 65 บาทตลอดสาย

3.เร่งดำเนินระบบตั๋วร่วมกับบริษัท บีทีเอสซี เพื่อแก้ไขอุปสรรคในทางปฏิบัติ 4.กทม.เร่งจัดเก็บค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีเขียว 5.กรณีไม่ขยายสัญญาสัมปทาน การจัดการหนี้สินของ กทม. ที่รับโอนจาก รฟม. ตั้งแต่ปี 2565-2572 รัฐบาลควรสนับสนุนภาระหนี้ชั่วคราวจนกว่าจะหมดสัญญาสัมปทาน ปี 2572 เพื่อรอให้ทรัพย์สินทั้งหมดของโครงการเป็นของ กทม. จากนั้น กทม.ต้องวางแผนเพื่อชำระหนี้คืนแก่รัฐบาลต่อไป ขณะเดียวกันต้องเปิดให้ผู้ประกอบการเดินรถแข่งขัน โดย กทม.ควบคุมดำเนินการ 6.ภาระหนี้สินของบีทีเอสซี กับ กทม. ที่เกิดจากการจ้างเดินรถและจัดซื้อระบบอาณัติสัญญาณและระบบเดินรถต่างๆ ที่มีประเด็นหนี้ รัฐบาลและ กทม. ต้องทบทวนและตรวจสอบเพื่อหาข้อยุติร่วมกับรัฐบาลว่าจะชำระหนี้อย่างไร.