เมื่อวันที่ 22 มิ.ย. กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) มูลนิธิส่งเสริมความเสมอภาคทางสังคม และสมาคมส่งเสริมศักยภาพสตรีพิการ จัดเวทีนำเสนอข้อมูลรายงาน “สถานการณ์ความรุนแรงต่อเด็กและผู้หญิงพิการ” นางพัชรี อาระยะกุล ปลัด พม. กล่าวว่า ช่วงโควิด-19 ที่ผ่านมา ทำให้คนในครอบครัวใช้เวลาอยู่ด้วยกันมากขึ้น และก่อให้เกิดคดีล่วงละเมิดเพิ่มขึ้นเช่นกัน การที่จะให้เด็กหรือผู้หญิงกล้าออกมาฟ้องหรือแจ้งความเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก เพราะความสัมพันธ์ในเชิงอำนาจ เช่น พ่อทำลูก แต่ลูกไม่กล้าบอก นอกจากนี้การทำงานเกี่ยวกับคดีล่วงละเมิดเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่ต้องอาศัยเครือข่ายภาคประชาสังคม ซึ่งมีความลึกในเชิงข้อมูลและการเข้าถึงพื้นที่เพื่อการช่วยเหลือผู้ถูกกระทำ เป็นสิ่งสำคัญที่ทำงานเป็นเครือข่ายและให้ผู้ถูกกระทำได้รับรู้สิทธิและเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมจนกว่าจะสิ้นสุด

ทางด้านนางภรณี ภู่ประเสริฐ ผอ.สำนักสนับสนุนสุขภาวะประชากรกลุ่มเฉพาะ สสส. กล่าวว่า ประเทศไทยมีสถิติความรุนแรงต่อผู้หญิงสูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก โดยพบผู้หญิงถูกล่วงละเมิดไม่น้อยกว่า 7 คน/วัน ขณะที่มีผู้หญิงที่เข้ารับการบำบัดรักษา แจ้งความร้องทุกข์ปีละ 30,000 ราย ขณะที่ยังมีอีกมากที่ไม่ถูกเปิดเผย ทำให้ สสส. ต้องอาศัยความร่วมมือกับภาคีเครือข่าย ภาครัฐ ภาคประชาสังคม ผลักดันให้ยุติความรุนแรงในประชากรเปราะบางกลุ่มนี้อย่างต่อเนื่อง เพื่อนำไปสู่การปรับปรุง แก้ไขนโยบาย และระเบียบต่าง ๆ ในการทำให้สังคมไทยเกิดความตระหนักว่า ความรุนแรงไม่ควรเกิดขึ้นกับเด็ก ผู้หญิง คนพิการ และทุกคน

ขณะที่ น.ส.เสาวลักษณ์ ทองก๊วย กรรมการว่าด้วยสิทธิคนพิการแห่งสหประชาชาติ กล่าวว่า ได้ศึกษาวิจัยเก็บข้อมูลกลุ่มเด็กพิการ ผู้หญิงพิการที่ถูกกระทำความรุนแรงช่วงเดือน ต.ค.64-ม.ค.65 จำนวน 51 กรณี ใน 31 จังหวัด พบว่ามีเพียง 29% ที่แจ้งความผู้กระทำผิด ในจำนวนนี้มีการดำเนินดคีกับผู้กระทำเพียง 27% อีก 73% คดีไม่มีความคืบหน้า เนื่องจากคู่กรณีมีอิทธิพล บางรายหนีออกจากพื้นที่ ไม่สามารถบอกลักษณะคนร้ายได้ บางกรณีไม่สามารถบอกจุดเกิดเหตุได้

ส่วนอีก 71% ไม่แจ้งความ เนื่องจากส่วนใหญ่ 55% ผู้กระทำเป็นคนในครอบครัว เช่น พ่อ ญาติพี่น้อง ทำให้คนในครอบครัวซึ่งเป็นเพศหญิงด้วยกันเพิกเฉย นอกจากนี้ 30% ขอให้ไกล่เกลี่ย 5% กลัว อาย 5% มีอุปสรรคในการแจ้ง เช่น การเดินทาง การสื่อสาร 3% ผู้กระทำมีอิทธิพล ใช้อำนาจ และ 2% ตำรวจไม่รับแจ้ง เพราะให้การไม่เป็นประโยชน์ ผู้พิการสื่อสารไม่ได้ ทั้งนี้จะรวบรวมข้อเสนอแนะส่งถึงภาครัฐให้ความสำคัญแก้ปัญหาเรื่องดังกล่าว ปรับปรุงกฎหมายให้สอดคล้องกับกฎหมายสากลที่ครอบคลุมสิทธิในเรื่องของผู้พิการ ไม่ถูกเลือกปฏิบัติ.