เมื่อวันที่ 22 มิ.ย. พ.ต.ต.ธรีภาพ ภูขันซ้าย สว.(สอบสวน) สภ.เมืองอุดรธานี รับแจ้งเหตุผูกคอเสียชีวิต ที่บ้านพักพื้นที่หมู่ 3 บ้านวัวข้อง ต.บ้านเลื่อม อ.เมือง จ.อุดรธานี ไปตรวจสอบพร้อมด้วยแพทย์เวรโรงพยาบาลศูนย์อุดรธานี และเจ้าหน้าที่มูลนิธิอุดรส่งเสริมธรรม ที่เกิดเหตุเป็นบ้านปูนชั้นเดียว บริเวณหน้าบ้านพบศพนางพิน (สงวนนามสกุล) อายุ 67 ปี สภาพใช้เชือกไนล่อนสีแดงผูกคอกับโครงเหล็กหลังคาหน้าบ้าน ญาตินำร่างลงมาก่อนเจ้าหน้าที่มาถึง โดยมีลูกสาว อายุ 35 ปี นั่งร่ำไห้เสียใจ ท่ามกลางการปลอบใจของญาติพี่น้อง แพทย์ชันสูตรเบื้องต้นไม่พบบาดแผลถูกทำร้าย ประกอบกับญาติไม่ติดใจสาเหตุการเสียชีวิตจึงมอบหมายให้นำศพไปบำเพ็ญกุศลตามประเพณี

สอบสวนเบื้องต้นลูกสาวให้การว่า ประมาณ 1 เดือนที่ผ่านมาพี่ชายที่ไปทำงานไต้หวัน ได้เงินค่าทำขวัญเนื่องจากถูกทำร้ายร่างกายโดนแทงบาดเจ็บ แล้วโอนเงินมาให้แม่ 1 แสนบาท เอาไปใช้หนี้แต่คนที่โอนเงินมาให้อ้างว่าใส่เลขบัญชีธนาคารผิดไปหนึ่งตัว เงินถูกโอนเข้ามาในเมืองไทยแล้ว แต่ถูกอายัด จึงจำเป็นต้องเสียค่าดำเนินการในการปลดล็อกซึ่งอ้างว่ามีค่าธรรมเนียมใหม่ หากมีการโอนเงินหลักแสนขึ้นไปจะต้องเสียค่าภาษีด้วย รวมเงินทั้งหมดเงินของแม่ เงินของพี่ชาย และค่าดำเนินการทั้งหมด 4.5 แสนบาท

“จากนั้นแม่ก็ไปหากู้ยืมเงินญาติพี่น้องและคนรู้จักโอนเงินไปให้เขา 3 แสนบาทแล้วในวันนี้จะโอนไปให้อีก 5 หมื่นบาทแต่ยังไม่ได้โอนเพราะยังหาเงินไม่ได้ จะไปยืมญาติอีกก็ถูกทักท้วงว่าถูกหลอกแล้วให้ไปแจ้งความ อาจทำให้แม่เครียด กลุ้มใจ ผูกคอเสียชีวิตดังกล่าว เพราะก่อนหน้านี้แม่เคยพูดว่า หากแม่ไม่อยู่ได้ทำพินัยกรรมเอาไว้ให้ลูกแล้ว”

ต่อมาช่วงเย็นวันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวเดินทางไปที่วัดอินทราราม บ้านวัวข้อง สถานที่ตั้งศพนางพิน บรรยากาศเป็นไปอย่างโศกเศร้า ของญาติพี่น้องและเพื่อนบ้าน ที่ทยอยเดินทางมาเคารพศพ และต่างวิพากษ์วิจารณ์ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น ขณะเดียวกันได้รับการเปิดเผยจากญาติผู้ตาย ว่า ลูกชายของผู้เสียชีวิตทราบเรื่องแล้วและได้โทรศัพท์ติดต่อกลับมา ยืนยันว่าเหตุการณ์ที่ถูกแทงบาดเจ็บที่ไต้หวันได้เงินทำขวัญมาจำนวนหนึ่งและโอนมาให้แม่ใช้หนี้ 1 แสนบาทนั้นเป็นเรื่องจริง แต่โอนผิดบัญชีเนื่องจากใส่เลขบัญชีผิดไป 1 ตัว

ญาติผู้ตาย เล่าอีกว่า ช่วงเย็นวันอาทิตย์ที่ผ่านมาผู้ตายได้โทรศัพท์มาหา ให้เข้ามาคุยด้วยจากนั้นคนตายได้ส่งสลิปโอนเงินมาทางแชตให้ดู ว่ามีการโอนเงินกว่า 3 แสนบาทจริง เป็นค่าปลดล็อกบัญชีที่ลูกชาย ตอนนั้นตนยังไม่รู้เรื่องอะไรมาก เลยเปิดดูหลักฐานสลิปการโอนเงินก็พบว่าผู้ตายได้โอนเงินเข้าบัญชีทั้งหมด 3 คน เป็นผู้ชาย 2 คน และผู้หญิง 1 คนมีการโอนเงินไปหลายครั้งยอดตั้งแต่ 500-100,000 บาท ซึ่งผู้ตายออกไปโอนเงินตามร้านค้าที่รับโอนเงิน แต่มีข้อความที่ทำให้สงสัยว่าอาจเป็นแก็งคอลเซ็นเตอร์ที่บอกถ้าส่งเงินมาตามจำนวนนี้ก็จะได้เงินพอถึงเวลาเงินก็ยังไม่ถูกโอนเข้าบัญชี

“วันต่อมามีโทรศัพท์รมาว่าต้องการเงินอีกให้ผู้ตายโอนเงินให้ ทำให้ผู้ตายต้องไปยืมเงินญาติและคนรู้จักอีกถึงขนาดเอาโฉนดที่ดินไปค้ำประกัน เพื่อที่จะยืมเงินมาโอนให้ ซึ่งก็ได้เตือนผู้ตายแล้วว่าให้ไปแจ้งความ เพราะคิดว่าเป็นแก็งคอลเซ็นเตอร์มาหลอกโอนเงินแน่นอนแต่ผู้ตายไม่ยอมไปแจ้งความ มีแต่บอกว่าให้รอลูกชายสัก 2-3 วันก่อน ว่าจะทำยังไง แต่ก่อนที่ผู้ตายจะคิดสั้นทางแก็งคอลเซ็นเตอร์ออกอุบายอีกว่า รออีก 10 วันค่อยโอนมาให้อีก 5 หมื่นบาทก็ได้แต่ถ้าโอนมาก็จะได้รับเงินทันที เรื่องนี้อาจจะทำให้ผู้ตายคิดมากจนผูกคอเสียชีวิตก็เป็นได้“

จากการตรวจสอบหลักฐานข้อความทางเบอร์โทรศัพท์ส่งมาให้ผู้ตายระบุว่ามีค่าแก้ไขเอกสาร 30,000 บาท ค่าดำเนินการขอยกเลิกอายัดเงินทั้งหมด 50,000 บาท ค่าค้ำประกันบัญชีและยืนยันตัวจริงของผู้รับเงิน 50,000 บาท รวม 100,000 บาท ในส่วนนี้อ้างว่าทางธนาคารจะคืนให้ทั้งหมด หลังดำเนินการแล้วเพื่อป้องกันการฟอกเงินข้ามประเทศ และยังมีหลักฐานการโอนเงินไปยังบัญชี ของชายคนหนึ่ง (สงวนชื่อ) วันที่ 12 มิ.ย. เวลา 12.58 น. ยอดเงิน 10,500 บาท เวลา 13.08 น. ยอดเงิน 500 บาท เวลา 13.17 น. 4,000 บาท เวลา 19.47 น. ยอดเงิน 10,000 บาท บัญชีชื่อนายอีกคนหนึ่ง (สงวนชื่อ) วันที่12 มิ.ย.เหมือนกัน เวลา 19.47 น. ยอดเงิน 10,000 บาท และบัญชีชื่อผู้หญิงอีกคน (สงวนชื่อ) วันที่ 16 มิ.ย. เวลา 16.37 น. 35,000 บาท เวลา 20.00 น. ยอดเงิน 50,000 บาท และ วันที่ 17 มิ.ย. เวลา 17.10 น. ยอดเงิน 80,000 บาท รวมที่ผู้ตายโอนไปทั้งสิ้น 330,000 บาท ซึ่งข้อเท็จจริงว่าผู้ตายถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หลอกลวงซึ่งสอดคล้องกับช่วงที่ลูกชายผู้ตายโอนเงินมาให้ ญาติๆจึงอยู่ระหว่างรอลูกชายเดินทางกลับมาสอบถามอย่างละเอียดอีกครั้ง