เมื่อวันที่ 27 มิ.ย. น.ส.เอ (นามสมมุติ) อายุ 38 ปี ชาวบ้าน อ.ทุ่งใหญ่ จ.นครศรีธรรมราช เข้าร้องเรียนสื่อมวลชนในพื้นที่ หลังอ้างว่าโดนครูสอนเทควันโด ปลอมแปลงเอกสารรายชื่อของสมาคมกีฬาเทควันโดแห่งประเทศไทย เพื่อนำมาอ้างว่า ด.ช.บี (นามสมมุติ) อายุ 11 ขวบ บุตรชายที่เรียนอยู่ชั้น ป.5 ซึ่งเป็นเด็กสมาธิสั้น และเป็นเด็กพิเศษ สามารถเข้าทีมชาติได้ ทั้งยังอ้างว่า ด.ช.บี เป็นผู้ผ่านการคัดเลือกเข้าร่วมเก็บตัวฝึกซ้อม เพื่อที่จะไปแข่งรุ่นยุวชนและเยาวชนทีมชาติในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา สุดท้ายยอมจ่ายเงินค่าเล่าเรียน ค่าชุดกีฬา ค่าชุดทีมชาติ และค่าเก็บตัวฝึกซ้อม เป็นเงินรวมกว่า 80,000 บาท

ทั้งนี้สืบเนื่องจาก เมื่อวันที่ 18 เม.ย. ที่ผ่านมา ตนพาลูกไปสมัครเรียนกับครูคนดังกล่าวเพราะเห็นว่าเป็นครูสอนเทควันโดมานานกว่า 10 ปี จึงตกลงจ่ายเงินไป 1,000 บาท เป็นรายสัปดาห์โดยเรียนสัปดาห์ละ 5 วัน แต่ปรากฏว่าครูได้เรียกเก็บค่าชุดเป็นเงิน 25,000 บาท พร้อมเร่งรัดให้จ่ายเงินภายในวันนี้ เพราะทางสมาคมกำลังหาเรือพิจารณาเอกสารการสมัคร แม้ตนจะแย้งไปว่าทำไมค่าชุดแพง ฝ่ายครูกลับบอกว่าเป็นค่าอุปกรณ์การฝึกด้วย ตนจึงยอมจ่ายไป เป็นเงินโอน 20,000 บาท และมาเก็บเป็นเงินสดอีก 5,000 บาท เพราะอยากให้ลูกได้เรียน หลังจากเรียนไปเกือบอาทิตย์ ชุดที่สั่งไปก็ยังไม่ได้ จึงต้องใช้ชุดสำรองที่ครูหามาให้ เพราะครูบอกว่าชุดและอุปกรณ์ที่สั่งไปอยู่ระหว่างการขนส่ง

วันที่ 21 เมษายน ครูได้เรียกค่าอบรม 6 วัน เป็นเงิน 6,000 บาท อ้างว่าเป็นการอบรมจากสมาคมกีฬาเทควันโด นักกีฬาทุกคนต้องเข้าร่วม ตนก็จ่ายเพิ่มไปอีก 6,000 บาท แต่ครูมาบอกทีหลังว่าต้องอบรม 10 วัน ต้องจ่าย 10,000 บาท ตนต้องจ่ายเพิ่มอีก 4,000 บาท ตนไม่มีเงินจึงขอเลื่อนจ่าย ครูจึงอ้างว่าจะออกค่าอบรมให้ก่อน 4,000 บาท พอถึงวันที่ 23 เมษายน ครูก็ได้ทวงถามเงิน 4,000 บาท ที่อ้างว่าเป็นค่าอบรมที่ออกให้ก่อนรอบที่แล้ว โดยอ้างว่าเงินที่ครูออกให้ไป เป็นเงินค่าปุ๋ยทุเรียนของพ่อตา จำเป็นต้องรีบคืนทันที ตอนนั้นตนไม่มีเงิน ตนจึงรีบหายืมนอกระบบมาแล้วโอนไปให้แต่ยืมมาได้แค่ 3,000 บาท โดยต้องจ่ายดอกเบี้ยรายวัน

หลังจากเก็บค่าอบรมไปแล้ว วันที่ 25 เมษายน ครูก็ขอเก็บค่าชุดทีมชาติเพิ่มอีก 25,000 บาท โดยอ้างว่าทางสมาคมโทรฯ มาบอกว่าลูกชายของตนจะได้ไปร่วมแข่งในงานใหญ่ระดับชาติ ต้องใช้ชุดทีมที่เหมือนกัน โดยครูทำการปลอมแปลงเอกสารของทางสมาคมกีฬาเทควันโดแห่งประเทศไทย ที่จะเรียกเก็บตัวซ้อมนักกีฬาในวันที่ 4-6 พฤษภาคม 2565 โดยเปลี่ยนวันที่เป็นพฤษภาคม-กรกฎาคม และนำชื่อลูกชายของตนไปใส่แทนชื่อเด็กคนอื่น พร้อมเปลี่ยนชื่อรายการแข่งขันจากอายุ 12-14 ปี เป็นอายุ 11-15 ปี แล้วส่งมาให้ตนดูทางแชทเฟซบุ๊ก ตนก็ไม่ได้เอะใจอะไร เพราะเห็นว่าครูคนนี้เป็นโค้ชมานานกว่า 10 ปี และมีสามีรับราชการ จึงหลงเชื่อว่า ลูกจะได้ไปแข่งจริง ๆ

ตอนนั้นตนไม่มีเงินในบัญชี ครูจึงเดินทางมาเอาเงินสดจากยายที่บ้าน จำนวน 23,000 บาท ซึ่งยายได้นำเงินเก็บที่มีทั้งหมดจ่ายเป็นเงินสดไปให้ โดยได้นับเหรียญในกระปุกให้ไปด้วยเพราะยายมีเงินไม่พอ หลังจากได้เงินสดจากยายไปแล้ว 23,000 บาท ตนก็ได้โอนเพิ่มไปอีก 2,000 บาทเพื่อให้ครบ 25,000 บาท โดยครูอ้างว่าจะเอาบิลค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่จ่ายไปแล้วมาให้ จะได้เก็บเป็นหลักฐาน เงินทุกบาทจะได้คืน แต่ต้องสำรองจ่ายไปก่อนเพราะต้องรีบสั่งทำชุด และจะทำการเบิกกับสมาคมมาคืนให้ภายในไม่กี่วัน โดยครูได้นำเอกสารการขอรับทุนนักกีฬา ซึ่งอ้างว่าเป็นทุนจากสมาคมชมรมเทควันโดจังหวัดนครศรีธรรมราช นำมาให้ตนและยายเซ็นที่บ้าน โดยมีพี่สาวตนเป็นคนเซ็นค้ำประกันด้วย เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ หลังจากตนเซ็นไปแล้วผ่านไปหลายวันก็ไม่มีความคืบหน้าใด ๆ จากนั้นครูคนนั้นได้มีการปลอมเสียงเพื่อโทรฯ หาตน โดยอ้างว่าโทรฯ มาจากสมาคมกีฬาเทควันโด ตนจึงอัดเสียงเอาไว้ โดยระบุว่า มีค่าใช้จ่ายอื่นเพิ่มเติมนอกเหนือจากค่าชุด เป็นค่าอบรมและค่าค่าย รวมเป็นเงิน 15,000 บาทที่ต้องจ่าย หลังวางสายตนก็โทรฯ หาครูทันที ครูก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ บอกว่าเป็นคำสั่งของสมาคม อาจจะต้องจ่ายตามนั้น

วันที่ 26 เมษายน ตนก็ทวงถามบิลค่าใช้จ่ายที่จ่ายเงินไป ครูกลับอ้างว่าต้องไปเอาจากสมาคมในตัวเมือง ยังไม่มีเวลาไปสำนักงาน จะไปอีกทีสิ้นเดือน พอถึงวันที่ 29 เมษายน ครูได้มารับลูกชายของตนไปสมาคมตั้งแต่ 5 โมงเย็นจนถึง 4 ทุ่ม โดยอ้างว่าจะพาไปรายงานตัวก่อนการแข่งขันที่สมาคมกีฬาเทควันโดนครศรีธรรมราช แต่พอลูกชายกลับมาถึงบ้าน ตนก็ถามลูกว่า ครูพาลูกไปทำอะไรบ้าง ลูกชายบอกว่าพาไปเล่นอยู่ข้างนอก แล้วครูนั่งอยู่ในห้อง ไม่ได้ทำอะไรทั้งสิ้น และไม่เห็นมีใครมาด้วย ตนจึงทักไปถามครูว่า ทำไมลูกถึงบอกว่าไม่ได้เจอใคร ครูก็อ้างว่าเป็นการพาเด็กไปยืนยันตัวตนว่าเด็กอยู่จังหวัดนครศรีธรรมราชเท่านั้น จะได้สอดคล้องกับคุณสมบัติของผู้รับทุน ไม่ได้ตรวจร่างกายแต่อย่างใด

วันที่ 7 พฤษภาคม ครูก็มาขอค่าอบรมก่อนแข่งขันอีก 10,000 บาท ในงานศรีสุราษฎร์เกมส์ ที่จะจัดแข่งในเดือนมิถุนายน แต่ตนไม่มีเงินพอ จึงขอจ่ายก่อน 5,000 บาท พอวันที่ 17 พฤษภาคม หลังจากครูได้เงินไป ก็ไม่มีการอบรม ไม่มีฝึกซ้อมใด ๆ มีแต่การเรียนพื้นฐานเทควันโดปกติ ตนก็ทวงถามความคืบหน้าอยู่เรื่อย ครูก็ได้แต่อ้างว่า ยังไม่ถึงเวลา ส่วนบิลค่าใช้จ่าย ครูยังไม่สามารถไปสมาคมได้ ไม่สามารถทำงานได้เพราะป่วยอยู่ โดยครูได้ส่งรูปข้อมือที่มีสายน้ำเกลือมาให้ดู อ้างว่านอนอยู่โรงพยาบาล ตนก็หลงเชื่อ และได้ช่วยยืมเงินนอกระบบมาให้ครูจ่ายค่าหนังสือลูกอีก 2,000 บาท

เวลาล่วงเลยผ่านไปเป็นเดือนก็ไม่มีความคืบหน้าสักเรื่อง ซึ่งตนจ่ายเงินไปแล้วเกือบ 80,000 บาท ตนจึงตัดสินใจทักแชตเข้าไปถามในเพจสมาคมกีฬาเทควันโดจังหวัดนครศรีธรรมราช จึงได้รู้ว่า ทุนนั้นไม่มีจริง และจะให้เฉพาะนักกีฬาทีมชาติเท่านั้น ส่วนค่าชุดค่าอุปกรณ์แค่ 800 บาท ค่าอบรมแค่ 1,000 บาท เมื่อสมาคมรู้ว่าเป็นครูคนดังกล่าว ก็ได้ตอบกลับมาว่า โดนโกงแล้ว ครูคนนั้นโดนระงับใบอนุญาตมาเป็นปีแล้ว เพราะเคยมีกรณีแบบนี้เกิดขึ้นมาก่อน

ตนจึงลองถามผู้ปกครองคนอื่นที่เคยให้ลูกเรียนเทควันโดกับครูคนนั้น ปรากฏว่า มีคนเคยโดนในกรณีแบบนี้จริง ๆ สูญเงินหลักหมื่น แต่ครูไม่เคยถูกดำเนินคดีเลยสักครั้ง ศิษย์เก่าที่เคยโดนครูหลอก ก็ได้ช่วยเหลือตนในการค้นหาคำตอบของเรื่องทั้งหมด ปรากฏว่า เอกสารปลอมเกือบทุกฉบับ รวมถึงรูปการประชุมที่ส่งมา ก็เป็นรูปของกองทุนการพัฒนากีฬาแห่งชาติ ที่ลงไว้เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ตนจึงตัดสินใจทักไปถามครู แต่ครูก็ไม่ยอมรับ ปฏิเสธทุกอย่างแล้วถามว่าใครเป็นบอก ซึ่งตนก็ไม่เปิดเผย เพราะมีหลายคนที่โดนมาก่อน แต่ไม่มีหลักฐานเพราะเป็นการจ่ายเงินสดเกือบทั้งหมด

ตนพยายามขอเงินคืนแต่ก็ไม่ได้คืน รู้สึกเสียใจมาก ๆ เพราะอยากให้ลูกได้เรียน ได้มีความสามารถ ยอมกู้หนี้นอกระบบมาให้ ยอมทนลำบากเพราะครูจี้ตลอด บอกว่าจ่ายช้าไม่ได้ ต้องรีบจ่ายทันทีทุกครั้ง หลังรู้ความจริงถึงกับเข่าทรุด ยายถึงกับเครียดกินข้าวไม่ได้ นอนไม่หลับ ร้องไห้ทุกคืน ตนสงสารยายมากที่ต้องมาเจอเหตุการณ์เช่นนี้

ตนได้นำเรื่องนี้ไปปรึกษาสื่อมวลชนท่านหนึ่ง แต่กลายเป็นว่า สื่อได้นำเรื่องของตนไปบอกอีกฝ่าย และนัดอีกฝ่ายมาที่บ้านโดยไม่บอกตน ตนรู้สึกคับแค้นใจมาก ๆ เพราะต้องการดำเนินคดีกับครูให้ถึงที่สุด จะได้ไม่เป็นตัวอย่าง อยากให้เคสของตนเป็นเคสสุดท้าย ไม่อยากให้เกิดขึ้นอีก แต่ครูก็ได้นำผู้มีอำนาจในพื้นที่มาไกล่เกลี่ยอยู่เรื่อย ๆ ตนก็ปฏิเสธการไกล่เกลี่ยทุกครั้ง เพราะตนไม่ได้อยากได้เงิน แต่อยากให้ครูได้รับผลของการกระทำ และอยากฝากเตือนแม่ ๆ ทุกคนอย่าหลงเชื่อใครง่าย ๆ เหมือนตน

ด้านพ่อของ ด.ช.บี เล่าให้ฟังว่า ตนยืนอยู่หลังบ้านวันที่ครูมาเก็บค่าชุดทีม 25,000 บาท ตนได้ยินครูคุยโทรศัพท์กับใครคนหนึ่ง ซึ่งครูไม่เห็นว่าตนยืนอยู่หลังบ้าน จับประเด็นได้ว่า เหมือนคนในสายกำลังทวงเงินหรืออะไรสักอย่าง โดยครูได้ตอบปลายสายไปว่า เงินแค่ 30,000 เดี๋ยววันนี้จะรีบเอาไปให้เลย ตนก็รู้สึกเอะใจ จึงเดินเข้ามาในบ้าน บอกยายว่าระวังถูกหลอกนะ แต่ตอนนั้นครูได้เงินไปแล้ว 23,000 แต่ครูก็ยังโทรฯ มาเร่งให้ภรรยาของตนรีบโอนส่วนที่เหลือ ตนก็เลยเกิดข้อสังเกตว่า ทำไมถึงรีบมาก รีบผิดปกติ ซึ่งตนก็ไม่ได้ยุ่งอะไรกับเรื่องนั้น แต่ก็ได้เตือนภรรยาไปแล้ว ให้ระมัดระวังให้ดี แต่ก็ยังโดนหลอกจนได้.