เมื่อวันที่ 28 มิ.ย. ศ.ดร.สุชาติ ธาดาธำรงเวช อดีต รมว.คลัง อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ให้ความเห็นเกี่ยวกับเศรษฐกิจว่า นอกจากเครดิตที่ดีของผู้นำประเทศแล้ว รัฐบาลยังมีเครื่องมือที่สามารถทำให้ประเทศเจริญเติบโตได้ดี มากกว่าเครื่องมือการบริหารบริษัทเอกชนมากมาย คือ 1.หากบริษัทเอกชนหรือประชาชน เป็นหนี้มาก อาจเป็นเพราะขายของไม่ได้ หรือไปกู้มาลงทุนมากเกินไป บริษัทต้องไปขอพักหนี้ แล้วไปกู้เงินใหม่จำนวนมากขึ้น เพื่อนำไปลงทุนใหม่ ไปผลิตและขายให้ได้กำไร เพื่อมาแก้หนี้เก่า และสร้างบริษัทให้เจริญเติบโต
2.แต่หากประเทศเป็นหนี้มาก เศรษฐกิจไม่เจริญเติบโต คนไม่มีงานทำ ประชาชนยากจน แล้วประเทศต้องการหา “เงินใหม่” มาฟื้นเศรษฐกิจและการจ้างงาน “รัฐบาลจะมีเครื่องมือที่บริษัทเอกชนไม่มี” คือการปรับค่าเงินตนเองให้อ่อนลงในระดับเหมาะสม จะทำให้ของที่เคยขายแพงไป สามารถขายได้ถูกลง ในสายตาคนต่างประเทศ โดยไม่มีใครขาดทุน เราจึงสามารถส่งออกไปต่างประเทศได้เพิ่มขึ้นทั้งปริมาณและมูลค่า แล้วนำเงินรายได้นั้น มาลงทุนสร้างประเทศ เช่น ระบบรถไฟฟ้า ถนน แหล่งน้ำ ทำเกษตรก้าวหน้า ทำ soft power ทำประเทศเป็นดิจิทัล โดยไม่ต้องไปกู้เงินมามากนัก ดังตัวอย่างที่เกิดขึ้นในประเทศญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และประเทศจีน
3.นโยบายการเงิน และนโยบายอัตราแลกเปลี่ยน มีผลมากกว่านโยบายการคลังอย่างมาก ต่อความเจริญเติบโต (GDP) การจ้างงาน รายได้และฐานะของประชาชน แต่เรื่องนี้รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ไม่เข้าใจ จึงมักมีผู้ว่าแบง์ชาติในอดีต (ยกเว้นคนปัจจุบัน) ไปบอกรัฐบาลว่า “นโยบายการเงิน เป็นช้างเท้าหลัง” แล้วก็ไปขึ้นอัตราดอกเบี้ยสูงๆ และขึ้นเร็วกว่าที่ควร (ซึ่งไปลดการบริโภค และการลงทุน) และทำให้ค่าเงินบาทแข็งกว่าปกติ (ซึ่งลดการส่งออก) ทั้งหมดมีผลให้ระบบเศรษฐกิจเจริญเติบโตต่ำ คือมีการ Play Safe ไว้ก่อน หลายครั้งค่าเงินบาทแข็งเกินไป เช่นในช่วงปี 61-62 เงินบาทได้แข็งค่าถึง 29 บาทต่อดอลลาร์ ทำให้อัตราเพิ่มของส่งออกต่ำมาก มีผลให้ GDP เติบโตเพียง 2-3%
4.นี่คือสาเหตุสำคัญอีกประการหนึ่ง ที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ไม่เข้าใจว่า ทำไม 7-8 ปีที่ผ่านมา ระบบเศรษฐกิจไทยจึงไม่เจริญเติบโต น่าเสียดาย. ครับ!