จากกรณีตำรวจจับกุมเยาวชน 3 ราย แต่งกายสวมเสื้อยืดสีดำ ใส่หมวก สวมหน้ากากอนามัย หนึ่งในนั้นสวมหมวกกันน็อก ขี่รถ จยย.ฮอนด้า รุ่น สกู๊ปปี้ไอ ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียนมาจอด ก่อนลงมือทำร้ายร่างกายเด็กนักเรียนชายชั้น ม.5 โรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) ที่กำลังเดินกลับบ้านพร้อมเพื่อน ระบุว่า เป็นการชิงเข็มพระเกี้ยวของสถาบันดังกล่าว ตามที่ได้เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ล่าสุดเมื่อวันที่ 30 มิ.ย. ที่ สน.วังทองหลาง พล.ต.ต.ไตรรงค์ ผิวพรรณ รอง ผบช.น. ดูแลงานกฎหมายและคดี เข้าติดตามความคืบหน้าการดำเนินคดีดังกล่าว โดยเปิดเผยว่า สำหรับคดีนี้ ทั้งผู้เสียหายและผู้ต้องหาเป็นเยาวชน จึงจำเป็นต้องมีเจ้าหน้าที่สหวิชาชีพเข้าร่วมการสอบปาก โดยในส่วนของผู้ก่อเหตุ ได้ให้การรับสารภาพและเข้าสู่กระบวนการตามกฎหมายเยาวชนฯ โดยเบื้องต้น ผู้ก่อเหตุยอมรับว่าเป็นค่านิยมในการสะสมเครื่องแบบสัญลักษณ์ของสถาบันต่างๆ และอ้างว่าไม่ได้มีการวางแผนแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะอารมณ์คึกคะนองชั่ววูบ

โดยการก่อเหตุดังกล่าวมีผู้ก่อเหตุจำนวน 3 คน จึงเข้าองค์ประกอบความผิดฐาน ร่วมกันปล้นทรัพย์โดยใช้อาวุธ และร่วมกันทำร้ายร่างกาย ซึ่งอัตราโทษตามกฎหมาย ข้อหาปล้นทรัพย์มีโทษจำคุกตั้งแต่ 10-15 ปี แต่หากเป็นการพยายามปล้นทรัพย์รับโทษ 2 ใน 3 และหากมีการใช้ยานพาหนะร่วมด้วยต้องรับโทษเพิ่มอีกกึ่งหนึ่ง ซึ่งถือเป็นข้อกล่าวหาที่มีอัตราโทษสูง จึงขอให้คดีนี้เป็นอุทาหรณ์ของกลุ่มวัยรุ่นและเยาวชน ที่มีค่านิยมในลักษณะนี้ ตระหนักถึงโทษที่จะตามมาหลังจากก่อเหตุไปแล้ว ส่วนผู้ปกครองนั้นต้องพิจารณาว่ามีส่วนสนับสนุนส่งเสริมหรือไม่

สำหรับการสอบปากคำผู้เสียหาย พนักงานสอบสวน สน.วังทองหลาง และเจ้าหน้าที่สหวิชาชีพได้ไปสอบปากคำที่โรงเรียนแล้ว หากขั้นตอนเสร็จสิ้นก็ไม่จำเป็นต้องมาสอบปากคำเพิ่มเติมที่สถานีตำรวจอีก ส่วนเรื่องที่ทางโรงเรียนจะมีการถอดเข็มพระเกี้ยวออกจากเครื่องแบบนั้น เป็นการดำเนินการของทางโรงเรียน ส่วนทางตำรวจเองได้มีการจัดสายตรวจ เฝ้าระวังตามจุดล่อแหลมของโรงเรียนต่างๆ โดยประสานงานร่วมกับโรงเรียนในพื้นที่ เพื่อเฝ้าระวังเหตุและประชาสัมพันธ์ต่อไป

ขณะที่ พ.ต.อ.กันตภณ โพธิ์อ๊ะ ผกก.สน.วังทองหลาง กล่าวว่า จากการพูดคุยผู้ก่อเหตุให้การว่าเป็นอารมณ์ชั่ววูบ โดยขณะขับขี่รถจักรยานยนต์มาก็ไม่มีความคิดจะก่อเหตุแต่อย่างใด แต่มาคิดก่อเหตุกระทันหัน โดยไม่มีเหตุโกรธเคืองผู้เสียหาย นอกจากนี้ทางผู้ก่อเหตุได้ให้การว่าไม่เคยก่อเหตุลักษณะนี้มาก่อน.