เมื่อวันที่ 30 มิ.ย. ผู้สื่อข่าวได้รับการร้องเรียนจากเกษตรกรที่มีอาชีพเลี้ยงหมู ในพื้นที่หมู่ 10 ต.น้ำร้อน อ.เมืองเพชรบูรณ์ ว่า กำลังได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก เนื่องจากยังไม่ได้รับเงินชดเชยเยียวยา จากการทำลายหมูที่ติดเชื้อจากโรคระบาดในช่วงกลางปี 64 ที่ผ่านมา ซึ่งขณะนี้ผ่านมาเกือบ 1 ปีแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้รับเงินชดเชยเลย ทำให้ไม่มีเงินไปลงทุนเลี้ยงหมูรุ่นใหม่ รวมทั้งหนี้สินค่าหัวอาหารจากร้านขายอาหารสัตว์ก็ยังไม่ได้จ่ายเลย บางรายต้องกู้เงินนอกระบบ มาเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในครัวเรือน จึงอยากให้สื่อช่วยเป็นกระบอกเสียงไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้เร่งรัดการชดเชยเงินความเสียหายในครั้งนี้โดยด่วน

ทั้งนี้ ตัวแทนชาวบ้านหมู่ 10 ต.น้ำร้อน อ.เมืองเพชรบูรณ์ จำนวนกว่า 10 คน ที่ได้รับความเดือดร้อนในครั้งนี้ ได้พาผู้สื่อข่าวไปดูคอกหมูที่ถูกทิ้งร้างไว้ รอเงินชดเชยเพื่อมาซื้อลูกหมูเลี้ยง โดย นางสำเนียง คำเพิง อายุ 65 ปี เปิดเผยว่า ก่อนหน้าที่จะมีการระบาดของโรค PRRS ตนเลี้ยงหมูขุน ประมาณ 60 ตัว และเมื่อเดือนตุลาคม 2564 ที่ผ่านมา มีการระบาด เจ้าหน้าที่ได้มาฉีดยาและนำไปฝังทั้งหมด โดยเจ้าหน้าที่แจ้งว่าภายในระยะเวลา 6 เดือน ตนเองจะได้รับเงินชดเชยประมาณ 9 หมื่นบาท แต่ขณะนี้ผ่านไปเกือบจะถึงปีแล้ว ก็ยังไม่ได้รับเงินชดเชยแต่อย่างใด ทำให้ได้รับความเดือดร้อนเป็นอย่างหนัก ต้องไปกู้เงินมาเป็นค่าใช้จ่ายในครัวเรือน ส่วนค่าหัวอาหารที่ไปเซ็นกับเถ้าแก่ไว้ก็ยังไม่มีเงินไปใช้หนี้ ดอกเบี้ยก็ขึ้นทุกวัน ตนจึงอยากจะวิงวอนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งรัดดำเนินการในการจ่ายเงินชดเชยให้เกษตรกรที่มีอาชีพเลี้ยงหมูโดยด่วน เพราะตอนนี้ไม่มีหนทางหรือเงินจะลงทุนแล้ว

ด้าน นายสุกัลย์ สีนวน เปิดเผยว่า ก่อนหน้าที่จะมีการระบาดของโรค ตนเลี้ยงหมูทั้งหมด 59 ตัว เป็นพ่อพันธุ์ 1 ตัว แม่พันธุ์ 10 ตัว ซึ่งกำลังตั้งท้อง และที่เหลือก็เป็นหมูขุน ซึ่งหากไม่มีการระบาดของโรคตนก็จะขายหมูได้เงินหลายแสนบาท แต่เมื่อมีการระบาดและทำลายทิ้ง จะได้รับเงินชดเชย ประมาณ 2 แสนกว่าบาท แต่ก็ยังไม่คุ้มกับเงินที่ลงทุนไปในการปรับปรุงคอกและซื้อแม่พันธุ์ แต่ปัจจุบันเงินชดเชยที่เจ้าหน้าที่บอกว่าจะมาชดเชยภายใน 6 เดือน ก็ยังไม่ได้รับเลย ทำให้ได้รับความเดือดร้อนเป็นอย่างมาก เพราะตนเป็นเกษตรกร มีอาชีพเลี้ยงหมูเพียงอย่างเดียว เงินที่กู้จากธนาคาร ธ.ก.ส. ก็ไม่มีไปใช้คืน ค่าหัวอาหารที่ไปเซ็นไว้กับเถ้าแก่ก็ไม่มีเงินไปจ่าย แถมดอกเบี้ยก็ขึ้นไปเรื่อยๆ หนำซ้ำยังต้องไปกู้เงินนอกระบบเพื่อนำมาเป็นค่าใช้จ่ายในครัวเรือนอีกด้วย

ขณะนี้ตนก็ได้พยายามช่วยเหลือตัวเอง โดยการไปยืมเงินจากญาติๆ มาเลี้ยงหมูแม่พันธุ์เพื่อเอาลูกหมูเลี้ยงเป็นหมูขุนขาย ซึ่งจะเป็นต้นทุนสำหรับการเลี้ยงในอนาคต แต่ก็ทำได้เพียงเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น จึงอยากจะขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการจ่ายเงินชดเชยให้แก่พวกตน และชาวบ้านโดยเร่งด่วน และยิ่งตอนนี้เห็นราคาเนื้อหมูที่แพงกว่าตอนที่ตนเลี้ยงเกือบเท่าตัว ก็ยิ่งช้ำใจ เพราะถ้าได้เงินชดเชยเร็ว ตนก็จะสามารถเลี้ยงหมูขุนและขายได้ราคาดี ก็จะสามารถลืมตาอ้าปากได้.