เมื่อวันที่ 1 ก.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานถึงการประชุมร่วมรัฐสภา วาระพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ (พ.ศ….) ซึ่งกรรมาธิการฯ พิจารณาแล้วเสร็จในวาระสอง โดยในช่วงครึ่งวันเช้า ซึ่งเริ่มพิจารณาตั้งแต่ มาตรา 120 พบว่าสามารถผ่านการพิจารณาไปจนถึงมาตรา 155 หรือ 35 มาตรา ก่อนที่จะพักการประชุมในรอบเช้าเมื่อ 12.20 น.

สำหรับการพิจารณาในภาพรวมพบว่าผ่านไปได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากเนื้อหาไม่มีการแก้ไข และไม่มีกมธ.ติดใจสงวนความเห็นและแม้บางมาตรามีการแก้ไข แต่สมาชิกรัฐสภาติดใจขออภิปรายไม่มาก อาทิ มาตรา 143 ว่าด้วยเครื่องแบบตำรวจ มาตรา 149 ว่าด้วยที่มาของกองทุนเพื่อการสืบสวน สอบสวน การป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดทางอาญา ซึ่งกมธ.ไม่มีการแก้ไข แต่พล.ต.ต.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายขอแก้ไขที่มาของกองทุนในส่วนของเงินจากมูลนิธิ ว่ามูลนิธิป่ารอยต่อ 5 จังหวัด ที่พบว่าเป็นมูลนิธิที่ทำการเมือง ผิดวัตถุประสงค์ ใครเป็นประธานมูลนิธิตนไม่ต้องบอก แต่การทำมูลนิธิที่มีเงื่อนไขซ่อนเร้น ขัดกันแห่งผลประโยชน์ ตามรัฐธรรมนูญ หมวด 9 มาตรา 186 ที่กำหนดห้ามรัฐมนตรีใช่สถานะหรือการกระทำใดๆ ทั้งทางตรงและทางอ้อม ก้าวก่ายแทรกแซงการทำหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐ เพื่อประโยชน์ของตน พรรคการเมือง

“ใครเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองผมไม่ต้องบอก แต่การกระทำจะเป็นไปโดยมิชอบหรือไม่ ที่ผ่านมามูลนิธิมีการระดมทุน มีบริษัทใหญ่บริจาคเงิน จัดโต๊ะจีนได้เงิน 40 ล้านบาท ถึง 100 ล้านบาท หากมูลนิธิให้เงิน สตช. อาจมีผลต่อการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจ ถือว่าก้าวก่าย สตช. ชัดเจน คำตอบและปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นถูกต้องหรือไม่ที่ต้องตอบแทนบุญคุณ ให้เงินต้องตอบแทนบุญคุณ ทั้งตำแหน่ง ผบ. และ รองผบ. ดังนั้นในการเขียนกฎหมาย ต้องกำหนดว่ามูลนิธิที่บริจาคเงินต้องคำนึงถึงการขัดกับแห่งผลประโยชน์ หากเขียนไว้สั้นๆ อาจทำให้มูลนิธิสีเทา ดำรงอำนาจ เพื่อให้เกิดบารมี ใช้อำนาจ ครอบงำ สตช.และผู้นั้นขัดกับผลประโยชน์ได้” พล.ต.ต.สุพิศาล กล่าว

ทั้งนี้การลงมติของ กมธ.ได้ยืนยันตามการพิจารณาของ กมธ.เสียงข้างมาก