จากกรณี น.ส.เอ (นามสมมุติ) อายุ 44 ปี แม่ค้าย่านหลักสอง ร้องขอความเป็นธรรม ถูก ตร.จราจร ยศ ส.ต.ท.ที่มาล็อกล้อตีสนิทจนคบหากัน สุดท้ายถูกหลอกยืมเงิน โอนให้กว่า 300 ครั้ง เป็นเงินกว่า 1 ล้านบาท หลังจากที่ทวงถามกลับไล่ให้ไปฟ้อง ต่อมา น.ส.เอได้เดินทางนำหลักฐานเข้าไปร้องกับหน่วยงานต้นสังกัดหลายหน่วยงาน แฉพฤติกรรมเสพยาเสพติด และเล่นการพนันออนไลน์ แต่กลับได้รับการตอบกลับว่าเป็นโทษวินัยไม่ร้ายแรง จนทำให้ น.ส.เอ รู้สึกว่าตนเองนั้นไม่ได้รับความเป็นธรรม และได้นำเรื่องนี้ไปออกรายการโหนกระแสวันที่ 30 มิ.ย.นั้น

ความคืบหน้าล่าสุด เมื่อวันที่ 3 ก.ค. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.วิสนุ ปราสาททองโอสถ จเรตำรวจแห่งชาติ ได้รับทราบกรณีดังกล่าว และได้สั่งการให้ พล.ต.ท.เชษฐา โกมลวรรธนะ หัวหน้าจเรตำรวจ ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงจากสำนักงานจเรตำรวจ เพื่อลงไปตรวจสอบการทำงานของคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงของ สน.หลักสอง ซึ่งก่อนหน้านี้คณะกรรมการฯ ของ สน.หลักสอง ได้มีการสรุปผลและส่งหนังสือแจ้ง น.ส.เอ ผู้ร้อง เมื่อวันที่ 20 พ.ค.65 รับว่า ส.ต.ท.คนดังกล่าว ทำผิดจริงตามข้อกล่าวหา ทั้งเรื่องยืมทรัพย์สินแล้วไม่ยอมคืน เรื่องเสพยาเสพติด และเล่นพนันออนไลน์ โดยมีความเห็นว่าเป็นความผิดวินัยไม่ร้ายแรง และลงโทษเพียงว่ากล่าวตักเตือนเท่านั้น ซึ่งการพิจารณาดังกล่าว สร้างความสงสัยต่อผู้ร้อง และถูกวิพากษ์วิจารณ์จากสังคม ถึงการใช้ดุลพินิจของคณะกรรมการฯ สน.หลักสอง ดังกล่าว

สาวบุกร้อง ‘ส.ต.ท.’ ใช้เล่ห์ล็อกล้อตีสนิทลวงรัก ก่อนยืมเงิน-จำนำของสูญนับล้าน

พล.ต อ.วิสนุ กล่าวว่า เรื่องนี้ตนได้รับรายงานเบื้องต้นจากทาง บช.น.แล้ว โดยทราบว่าทาง บช.น.ได้มีหนังสือสั่งการถึง ผบก.น.9 ซึ่งกำกับดูแล สน.หลักสอง ให้กลับไปทบทวนผลการสืบสวนข้อเท็จจริงของ สน.หลักสอง โดยให้ดำเนินการแก้ไขเพิ่มเติมการสืบสวนข้อเท็จจริงใหม่ ตั้งแต่ 30 มิ.ย.65 ที่ผ่านมา แต่อย่างไรก็ดี ทางจเรตำรวจจะไม่นิ่งเฉย และจะลงมาตรวจสอบการทำงานของคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงของ สน.หลักสอง อีกส่วนหนึ่งพร้อมกันด้วย เพื่อสร้างความมั่นใจในการให้ความเป็นธรรมกับทางฝ่ายผู้เสียหาย และสร้างความเชื่อมั่นต่อสังคม โดยจเรตำรวจ จะตรวจสอบว่าคณะกรรมการสืบสวนฯ ของ สน.หลักสอง ได้ดำเนินการตามกฎ ก.ตร.ว่าด้วยการสืบสวน พ.ศ. 2556 หรือไม่ โดยเฉพาะการตรวจสอบพฤติกรรมการสืบสวนของคณะกรรมการฯ ในครั้งนี้ว่า คณะกรรมการฯ ของ สน.หลักสอง มีความพยายามในการเข้าถึงพยานหลักฐานอย่างเต็มที่หรือไม่ และได้มีการใช้ดุลพินิจในการพิจารณาเสนอความเห็นในเรื่องนี้บนพื้นฐานของข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานอย่างไร เพื่อไม่ให้กระบวนการตรวจสอบความโปร่งใสของตำรวจด้วยกัน มีลักษณะเป็นมวยล้มต้มคนดู จนขาดมาตรฐาน และขาดความเชื่อถือศรัทธาจากประชาชน และหากพบว่ามีการกระทำผิด หรือบกพร่องอย่างไร ก็จะต้องมีการดำเนินการทั้งทางวินัยและอาญาแก่ผู้เกี่ยวข้อง ด้วยความเด็ดขาดต่อไป ส่วน ส.ต.ท.คู่กรณี หากจเรตำรวจตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว มีข้อมูลที่ขยายผลพบว่ามีการกระทำผิดจริง ก็จะต้องมีการดำเนินการทางวินัยและอาญาตามบทลงโทษที่เหมาะสมกับพฤติการณ์ที่กระทำผิดด้วยเช่นกัน