เมื่อวันที่ 3 ก.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า  ที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมที่พักสงฆ์วัดไร่วังตะวัน บ้านคลองดินดำ วัดไร่วังตะวัน ต.ระเริง อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา อดีตเจ้าของที่ดิน ไล่เจ้าอาวาสวัดดังวังน้ำเขียว ออกจากวัดภายใน 15 วัน เหตุไม่พอใจการพัฒนาวัดล่าช้า

หมอเอื้อง-ภรภัค พรนพฉัตร ผู้มอบที่ดินถวายวัดไร่วังตะวัน เปิดเผยว่า ตนเป็นเจ้าของที่ดิน กรรมสิทธิ์ สปก.4-01 รวม 3 แปลง 131 ไร่ เป็นเจ้าของไร่วังตะวัน เมื่อราว 4 ปีที่ผ่านมา พระมหาชัชวาลย์ โอภาโส เจ้าอาวาสวัดสระกำแพงใหญ่ อ.อุทุมพรพิสัย จ.ศรีสะเกษ อยากให้ตนยกที่ดินถวายเป็นการส่วนตัวท่าน แต่ตนไม่เคยรู้จักท่านมาก่อน ซึ่งความประสงค์เดิมนั้นตนอยากถวายให้พระราชเมธี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร ซึ่งทำพิธีถวายไป 2 ครั้ง เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2560 และ วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2562 โดยมีพระผู้ใหญ่มาเป็นประธานมอบทั้ง 2 ครั้ง รวมถึง กำนัน-ผู้ใหญ่ และชาวบ้านในพื้นที่ ร่วมเป็นสักขีพยาน ตั้งแต่เดือนสิงหาคม ปี 2564 ที่ผ่านมา

หมอเอื้อง เปิดเผยต่อว่า ต่อมาตนได้ลงพื้นที่ดังกล่าว เพื่อปลูกสมุนไพรไทย ต้านภัยโควิด-19 แต่กลับโดน พระมหาชัชวาลย์ โอภาโส สั่งให้คนมาไถกลบสมุนไพรไทยที่ตนปลูก และปรับพื้นที่สร้างรูปปั้นพระ ตนจึงทำหนังสือสอบถามท่านไปเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2564 ขออนุญาตให้ท่านหยุดการพัฒนาพื้นที่ เพราะมองว่าท่านไม่ประสงค์ที่จะทำให้กับศาสนาอย่างจริงจัง ตนมีเอกสารสิทธิถูกต้องตามกฎหมาย สปก.ทั้ง 3 ฉบับ เป็นชื่อตน 45 ไร่ ชื่อของคุณพ่อ 40 ไร่ และลูกชาย 47 ไร่ รวมแล้ว 131 ไร่ ซึ่งพระมหาชัชวาลย์ โอภาโส ได้ไปกล่าวหาว่าตนบริจาคที่ดินแล้วจะเอาคืน ซึ่งไม่ใช่ความจริง เพราะตนต้องการจะให้เป็นที่พักพระภิกษุดูแล พระภิกษุอาพาธ เป็นที่ศาสนสถาน ซึ่งตอนที่ดินยังไม่ใช่ สปก.4-01 ตนจึงไม่สามารถสละสิทธิ์ที่ดินให้กับสำนักพระพุทธศาสนา มารู้ที่หลังว่าพระรูปนี้ต้องการจะได้เป็นของส่วนตัว มีการล็อกประตูรั้วไม่ให้ตนเข้าไปข้างใน และไปแจ้งดำเนินคดีอาญากับตน ซึ่งสำนักงานปฏิรูปที่ดิน ออกหนังสือ ที่ดิน สปก.4-01 เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2564 ยืนยันว่าเอกสารสิทธิที่ดินทั้ง 3 ฉบับนี้ เป็นของตนโดยชอบธรรม แต่ไม่สามารถเข้าไปในพื้นที่ได้ ตนจึงจะทำการแจ้งความดำเนินคดีกับบุคคลที่เกี่ยวข้อง และต้องการพระมหาชัชวาลย์ โอภาโส และคนที่ดูแลที่นี้ ต้องออกจากพื้นที่ภายใน 15 วัน ตามคำสั่งของ สปก.

ด้าน พระมหาชัชวาลย์ โอภาโส กล่าวว่า เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 60 หมอเอื้องยกที่ดินให้วัด เพื่อสร้างวัด ที่พักสงฆ์ หรือศูนย์ปฏิบัติธรรม และสาธารณะประโยชน์แก่พระพุทธศาสนา จำนวน 3 แปลง ในขณะนั้นที่ดินที่มอบให้วัด เป็นที่ดิน ภบท.5 คือ ผู้ครอบครองที่ดินสามารถปลูกบ้าน หรือสร้างอาคารบนที่ดิน ภบท. ได้ โดยมี กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ชาวบ้านในพื้นที่ร่วมเป็นพยาน โดยมีพระผู้ใหญ่ พระราชเมธี วัดไตรมิตรฯ อยู่ด้วยในการรับมอบที่ดินดังกล่าว

พระมหาชัชวาลย์ กล่าวต่อว่า แต่ต่อมาเมื่อปี 62 หมอเอื้อง ก็ได้ไปเปลี่ยนที่ดินตรงนี้จาก ภบท.5 ให้เป็นที่ดิน สปก. และจะมาขอที่ดินคืนทั้งหมด อ้างว่า มอบให้มาแล้ว 2-3 ปี แต่พื้นที่ตรงนี้ยังไม่มีการพัฒนา จะไม่พัฒนาได้อย่างไร มีทั้งการสร้างศาลาหลังใหญ่ สร้างกุฏิน้อย-ใหญ่ 6-7 หลัง สร้างห้องน้ำ สร้างห้องปฏิบัติธรรม ที่ผ่านมาก็มีกิจกรรมการทำบุญร่วมกับชาวบ้านในพื้นที่ตลอด ทั้งทอดผ้าป่า มอบทุนการศึกษาให้เด็กนักเรียน และจะมาบอกว่า ไม่เห็นมีชาวบ้านเข้ามาปฏิบัติธรรมเลย เรื่องแบบนี้พระไปบังคับจิตใจญาติโยมไม่ได้ ที่ผ่านมาที่นี่มีพระมาจำวัดตลอด เพื่อที่จะค่อยมาพัฒนาวัด และในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ก็รู้กันอยู่เป็นช่วงโควิด-19 ระบาดหนัก จะทำอะไรก็ลำบาก ผู้มีจิตศรัทธาก็ลำบาก ลำบากไปทุกคน อาตมาเสียดายโอกาสบุญ ถ้าเรารู้ว่าเขาจะไปเปลี่ยนจากที่ ภบท. ให้เป็นที่ สปก. อาตมาก็อาจจะไม่รับตั้งแต่แรก

พระมหาชัชวาลย์ กล่าวอีกว่า ส่วนเรื่องการบันทึกชื่อของอาตมาเป็นผู้รับมอบ ขนาดเป็นชื่ออาตมายังมีปัญหาขนาดนี้ ถ้าเป็นชื่อคนอื่นจะทำอย่างไร แต่อย่าลืมว่า ที่ดินที่มอบให้ตรงนี้ คือที่ดินธรณีสงฆ์ไปแล้ว จะเอาไปทำอะไรไม่ได้ จะเอาไปมอบให้ใครก็ไม่ได้ ถ้ามีการฟ้องร้อง ก็ขึ้นอยู่ที่ศาลจะเป็นคนตัดสินเรื่องนี้ ส่วนอาตมาก็ยินดีที่จะไปให้ปากคำ เพื่อรักษาที่นี้ให้เป็นที่ธรณีสงฆ์ต่อไป