เมื่อวันที่ 3 ก.ค. ที่โรงแรมเซ็นจูรี่ ปาร์ค กทม. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกฯ ปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ “มองอนาคตประเทศไทย” ในโอกาสครบรอบ 25 ปี สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ โดยนายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ใน 2 ปีข้างหน้า จะเป็นช่วงการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่สำคัญประเทศไทยจำเป็นจะต้องปรับและปฏิรูปเชิงโครงสร้างในหลายมิติ และเชื่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และรมว.กลาโหม รัฐบาลจะอยู่ครบเทอมครบวาระ เพราะกระแสความนิยมของรัฐบาลมีไม่มาก จึงยังไม่มีความจำเป็นต้องรีบเลือกตั้ง อีกทั้งความนิยมของประชาชนยิ่งเทไปที่ฝ่ายค้านเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ทั้งนี้หลังเลือกตั้งครั้งหน้าควรแก้ไขมาตรา 272 เกี่ยวกับบทบาทหน้าที่ของสมาชิกวุฒิสภาที่ไม่ให้มีส่วนเลือกนายกฯ หากไม่มีการแก้ไข มาตราดังกล่าวถือเป็น “ระเบิดเวลา” เป็นข้อผิดพลาดเพราะตนเชื่อว่าการเลือกตั้งครั้งหน้าฝ่ายค้าน เช่น พรรคแกนนำพรรคเพื่อไทยจะมีชัยชนะอย่างแน่นอน แต่จะจัดตั้งรัฐบาลได้หรือไม่ ถือว่ามีปัญหา และหากให้ ส.ว.เลือกนายกฯ อีก ก็ยิ่งมีปัญหาไม่จบ
นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า ขณะเดียวกันหาก พรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้ง จะสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้หรือไม่ และจะยอมประนีประนอมเฉพาะหน้าในเชิงผลประโยชน์หรือไม่ ถ้ายอมประนีประนอม แต่จะทำให้ฝ่ายหัวก้าวหน้าที่ต้องการแก้โครงสร้างสถาบันหลักอาจไม่นิ่งเฉย ซึ่งเป็น “ระเบิดเวลา” อีกหนึ่งปัจจัย และเมื่อครั้งที่พรรคเพื่อไทย เปิดตัว น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เป็นหัวหน้าครอบครัวพรรคเพื่อไทย ตนก็พูดแล้วว่าเข้ามาในวงการการเมืองถือเป็นสิ่งที่ดี แต่เป้าหมายต้องไม่มาทำเพื่อครอบครัวตัวเอง แต่ไม่มีใครแม้แต่คนเดียวในพรรคออกมายืนยันว่า จะไม่ทำแบบนั้น จึงมองว่า การเมืองไทย ท้ายที่สุดจะกลับไปสู่วังวนเดิมอีก
นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ถ้าทุกฝ่ายอยากสร้างการเมืองเพื่ออนาคตจริง ๆ ต้องมาถึงจุดที่ทุกคนยอมรับว่าทุกคนมีส่วนผิด เรียนรู้จากบทเรียนเพื่อออกแบบการเมืองไทยในอนาคต แสวงหาจุดสมดุลร่วมกันเพื่อประคับประคองให้ระบอบประชาธิปไตยอย่างเหมาะสมกับประเทศไทย.