เมื่อวันที่ 4 ก.ค. นายนิพนธ์ บุญญามณี รมช.มหาดไทย เป็นประธานเปิดการประชุม โครงการเพิ่มศักยภาพในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยของผู้อำนวยการอำเภอ สำหรับปลัดอำเภอ และหัวหน้าฝ่ายความมั่นคงโดยมีนายบุญธรรม เลิศสุขีเกษม อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) นายธนาคม จงจิระ อธิบดีกรมการปกครอง (ปค.) นายอำเภอ และปลัดอำเภอในพื้นที่ภาคใต้ตอนล่าง เข้าร่วมรับฟังนโยบาย 

นายนิพนธ์ กล่าวว่า ประเด็นสำคัญที่มาพบในวันนี้คือในเรื่องของการเสียชีวิตบนท้องถนน ตนนั่งตรงนี้และเอาตัวเลขต่างๆ มาดูพบว่า ไม่มีภัยอันไหนที่เรียกว่าเป็นภัยคุกคามชีวิตคนไทยมากเท่าภัยบนท้องถนน เราเสียชีวิตบนท้องถนนปีๆ นับหมื่นราย ในปี 2559 บันทึกไว้ที่องค์การอนามัยโลก 22,400 กว่าคน เหตุการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่เราไม่อยากให้เกิด 15 ปีมานี้ ทำให้คนทุกอาชีพเสียชีวิตหมดแล้วซึ่งก็ไม่อยากให้เกิด เมื่อไปดูตัวเลขของผู้เสียขีวิต คนไทยเสียชีวิตมาแล้ว 6,000 คน ใน 15 ปีย้อนหลัง เมื่อเทียบกับตัวเลขการเสียชีวิตบนท้องถนน300,000 กว่าราย ซึ่งถือเป็นภัยที่ยิ่งใหญ่กว่าภัยอื่นๆ ดังนั้นตนจึงต้องเดินสายบอกบุญไปทั่วประเทศ เพื่อไม่ให้คนไทยตายบนท้องถนน และก็ไม่มีบุญไหนใหญ่กว่านี้อีกแล้ว จึงต้องชวนคนไทย ท่านผู้ว่าฯ นายอำเภอทำบุญให้คนไทยไม่ตายบนท้องถนน 

นายนิพนธ์ กล่าวต่อว่า ด้วยความทุ่มเทของพวกเราตัวเลขในปี 2559 ตัวเลขของผู้เสีบชีวิต22,400 กว่าราย หลังจากที่พวกเราร่วมมือกันทุกฝ่ายในการช่วยกันป้องกันและลดอุบัติเหตุในช่วงเทศกาลต่างๆ ที่ผ่านมาพบว่า ปีที่แล้วตัวเลขในปี 64 ทั้งปีอยู่ที่ประมาณ 16,000 รายจาก 22,000 แสดงว่าจากปี 59 ถึงปี 64 สามารถลดการตายไปได้ 5000-6000 คน นี่ถือเป็นบุญกุศล ที่ช่วยให้ลดการเสียชีวิตน้อยลง นี่คือสิ่งที่ต้องชื่นชม ด้วยความเข้มงวด ด้วยความเข้มแข็งและทุ่มเทของเรา ทำให้ไปในทิศทางที่ลดลง และในปี 65 ก็จะเป็นการพิสูจน์ว่าตัวเลขจะเพิ่มขึ้นหรือลดลงหรือไม่หลังจากสถานการณ์โควิด-19 

นายนิพนธ์ กล่าวอีกว่า แต่มาถึงวันนี้ย่างเข้าเดือนที่ 7 ก็น่ากังวล เพราะตัวเลขข้อมูลจากบริษัทกลางของผู้ประสบภัยบนท้องถนน ตายไปแล้ว 7,000 กว่าราย โดยเฉพาะในเดือนนี้มีวันหยุดติดต่อกัน 15 วันจึงเป็นสิ่งที่น่ากังวล จึงต้องขอฝากเป็นการบ้านกับท่านนายอำเภอ ซึ่งต้องดูว่าในพื้นที่ของท่าน พอหยุด 15 วัน ยิ่งหยุดยาวประชาชนก็จะนำยานพาหนะออกมาใช้บนท้องถนนมาก อันนี้จะเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุมาก จึงต้องช่วยกันระมัดระวังรวมถึงเดือนตุลาคมที่มีวันหยุดมากเช่นกัน ดังนั้นจึงต้องมีมาตรการที่เข้มงวดในช่วงวันหยุดเพื่อความปลอดภัยบนท้องถนน 

“ตัวเลขปีนี้อาจจะเพิ่มขึ้นถ้าเราไม่มีมาตรการ แต่ถ้าเรามีมาตรการเราน่าที่จะชะลอการเสียชีวิตไม่เพิ่มขึ้นได้ เพื่อให้ลดลงเป็นไปตามเป้าที่วางไว้ ซึ่งปีนี้เราหวังว่าจะมีคนเสียชีวิตบนท้องถนนไม่เกิน 22 คนต่อประชากร 100,000 อยากฝากการบ้านให้นายอำเภอสำรวจในพื้นที่ตนเองว่าประชากรมีจำนวนเท่าไร แล้วเอาไปหารดู ท่านก็จะรู้เลยว่าถ้าอย่างนี้ มันก็ไม่ควรเกิดการเสียชีวิตบนท้องถนนเกิน 1 คนอันนี้คือเป้า เพราะรัฐบาลประกาศแล้วว่าภายในปี 2570 ครม. ประกาศชัดเจนว่าคนไทยจะต้องเสียชีวิตบนท้องถนนไม่เกิน 12 คนต่อ 100,000 ประชากรอย่างน้อยต้องลดลงปีละ 2 เปอร์เซ็นต์ อันนี้อยู่ที่พวกเราทุกคนต้องทำวันนี้ ซึ่งท่านผู้ว่าฯ เป็นประธาน ศปถ.ประจำจังหวัด ท่านควบคุมทั้งจังหวัด แต่ผู้ปฏิบัติคือท่านนายอำเภอในฐานะเป็น ผอ.ศูนย์ความปลอดภัยบนท้องถนน พ่วงด้วย ศปถ.อบต. นี่คือกลไกที่มหาดไทยใช้ระเบียบของสำนักนายกปี 54 ที่กำหนดให้มีศูนย์ความปลอดภัยทางถนนระดับประเทศ โดยมีท่านนายกฯ เป็นประธาน ฉะนั้นสิ่งนี้คือกลไกที่เราใช้แก้ปัญหาอยู่ในขณะนี้” นายนิพนธ์ กล่าว

นายนิพนธ์ กล่าวด้วยว่า เบื้องต้นฝากท่านไปสำรวจดูว่าในอำเภอของท่านมีตำบลไหนบ้างที่ยังไม่มีศูนย์ความปลอดภัยทางท้องถนนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ก็ขอเชิญท่านนายกฯ และผู้บริหารท้องถิ่นมาพบ แล้วจัดตั้ง ศปถ.อบต. ศูนย์ความปลอดภัยทางถนนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมาเป็นกลไกให้ทุกท่าน เพื่อจะได้ดูแลในตำบลเพราะเป็นพื้นที่ของตำบลนั้นๆ ทำไมต้องทำเรื่องท้องถิ่นมาดูแลความปลอดภัยบนท้องถนนด้วย เหตุเพราะถนนในประเทศไทย 700,000 กว่ากิโลเมตรอยู่กับกรมทางหลวง อยู่ที่ทางหลวงชนบทอีกกว่า 48,000 กิโลเมตร เหลืออีก 600,000 กว่ากิโลเมตรจะอยู่ที่ อบต. เทศบาล อบจ. ฉะนั้นในช่วงเทศกาล 7 วันอันตรายส่วนใหญ่ก็จะอยู่ที่ทางหลวงแผ่นดินถนนสายหลักของแต่ละพื้นที่ ในชุมชนบ้าง ดังนั้นอีก 600,000 กว่ากิโลเมตร ถ้าเราไม่เอาท้องถิ่นมาดูแลแล้วใครจะดูแล นี่คือที่มาที่บอกว่าพวกเราต้องทำตำบลใหม่ปลอดภัย เพราะถ้าทำได้ทุกตำบลในอำเภอ ขับขี่ปลอดภัยได้ จังหวัดก็ขับขี่ปลอดภัยได้ ดังนั้นนโยบายในเรื่องขับขี่ปลอดภัยจึงเป็นเป้าที่เล็กที่สุด ถ้าหน่วยงาน รับผิดชอบที่เรียกว่า ศปถ.อบต. คือศูนย์ความปลอดภัยบนท้องถนนระดับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นลงไปทำให้เต็มที่ ก็จะเป็นการแบ่งเบาภาระให้นายอำเภอ คุมเฉพาะเรื่องนโยบายและเรื่องต่างๆ โดยมอบหมายให้ภารกิจนี้ให้ผู้บริหารท้องถิ่นทำ 

นายนิพนธ์ กล่าวอีกด้วยว่า กลไกที่สำคัญที่สุดอยู่ที่ท้องที่กับท้องถิ่นต้องเดินด้วยกัน นั่นคือจะเป็นนักบริหารที่ดีได้ต้องบริหารสองขานี้ด้วยกัน ซึ่งมันแบบไว้เพื่อ บำบัดทุกข์ บำรุงสุข เพราะนายอำเภอสามารถสั่งการได้ตลอดเวลาเพราะท้องถิ่นกฏหมายเขียนไว้ให้กำกับ ซึ่งกำกับกับสั่งการจะต่างกันตรงที่ กำกับคือคำสั่งที่ให้เป็นไปตามกฎหมาย แต่ในฐานะคนกำกับ ทำอย่างไรที่จะให้ท้องถิ่นเห็นความสำคัญในเรื่องความปลอดภัยบนท้องถนน จึงเป็นภารกิจของท่านนายอำเภอ ซึ่งนักบริหารที่ดี ต้องมีทั้งศาสตร์และศิลป์ ถ้าท่านสามารถใช้กำลังให้ท้องถิ่น และท้องที่ให้ขับเคลื่อนภัยทุกภัยก็จะไม่เข้าใกล้ ประชาชนก็จะได้รับความดูแลอย่างดีทุกครั้งที่เกิดภัยธรรมชาติ เพราะท้องที่มีกำลังคน แต่ท้องถิ่นจะมีงบประมาณ ดังนั้นจะทำอย่างไรที่จะเอางบประมาณของท้องถิ่นมาใช้ได้ นี่คือสุดยอดของนักบริหาร ซึ่งกระทรวงมหาดไทยก็ได้ปลดพันธนาการให้กับท้องถิ่นมามาก ในการช่วยเหลือประชาชนที่มีความยากลำบาก และประสบความเดือดร้อน ท่านจึงต้องชวนท้องถิ่นมาทำเรื่องนี้ด้วยการให้ท้องถิ่นมีแผนพัฒนาในเรื่องความปลอดภัยทางถนนที่เรียกว่าแผนพัฒนาท้องถิ่น เพื่อที่จะให้ท้องถิ่นสามารถตั้งงบประมาณบรรจุไว้ในแผนงบประมาณของท้องถิ่นได้ ส่วนหนึ่งที่เราต้องให้ท้องถิ่นเข้ามาช่วยเพราะถนนท้องถิ่นมีปัจจัยเสี่ยงกับการเสียชีวิตบนท้องถนน สาเหตุหลักคือเมาแล้วขับ ขับรถเร็ว ไม่สวมหมวกกันน็อก และสิ่งสำคัญ 80 เปอร์เซ็นต์ของคนตายบนท้องถนนเกิดจากรถจักรยานยนต์ตราบใดที่เราไม่มีการป้องกันการเสียชีวิต เนื่องจากรถจักรยานยนต์เราก็ไม่สามารถลดจำนวนคนเสียชีวิตได้ วันนี้ปัญหาท้าทายของเราคือ ทำอย่างไรให้ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์เสียชีวิตน้อยลง ตนมาวันนี้ก็เพื่อพบกับท่านในการที่จะร่วมกันถอดบทเรียนและหามาตรการ วิธีการดีๆ ที่จะทำให้การสูญเสียชีวิตเนื่องจากรถจักรยานยนต์น้อยลง เป็นการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ เพื่อจะได้นำไปถ่ายทอดให้รับรู้ทั่วประเทศต่อไป.