ที่ พรรคเพื่อไทย เมื่อวันที่ 5 ก.ค. คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคฯ แถลงข่าวประจำสัปดาห์เรื่อง “การแก้ปัญหาพลังงาน และช่วยเหลือประชาชน” โดยนายพิช้ย นริพทะพันธุ์ รองประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย ด้านเศรษฐกิจ กล่าวว่า สภาวะเศรษฐกิจของโลกน่าจะมีโอกาสเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย ธนาคารสหรัฐจะขึ้นดอกเบี้ยอีกหลายครั้งในปีนี้ โดยผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ กล่าวว่า ธนาคารกลางสหรัฐยอมรับความเสี่ยงที่จะให้เศรษฐกิจสหรัฐถดถอยดีกว่าที่จะไม่สามารถควบคุมเสถียรภาพของราคาสินค้า หรือ คุมเงินเฟ้อไม่อยู่ ซึ่งจะมีผลเสียมากกว่ามาก ดังนั้นประเทศไทยจะต้องเตรียมรับมือ กับภาวะเศรษฐกิจโลกที่จะผันผวน โดยภาวะเงินเฟ้อของไทยในเดือน มิ.ย.65 คาดว่าจะสูงถึง 8% และยังมีโอกาสที่จะสูงขึ้นไปอีก จากราคาพลังงานทั้งน้ำมัน ก๊าซ ไฟฟ้าที่จะสูงขึ้น ราคาข้าวของที่จะแพงขึ้นอีก ทำให้ประชาชนลำบากขึ้นไปอีกมาก รัฐบาลและธนาคารแห่งประเทศไทยจะต้องหาทางควบคุมไม่ให้ระดับราคาสินค้าพุ่งสูงเกินไปจนคุมไม่อยู่ ซึ่งจะเป็นปัญหาอย่างหนักเหมือนในหลายประเทศที่ประสบ

ทั้งนี้ ราคาก๊าซหุงต้มได้ปรับขึ้นเป็น 378 บาท/ถัง 15 กก. แล้วเมื่อวันที่ 1 ก.ค.ที่ผ่านมา และจะขึ้นอีกในเดือน ส.ค.-ก.ย. จนถึงราคา 408 บาท/ถัง 15 กก. ราคาน้ำมันดีเซลจะขึ้นทะลุลิตรละ 35 บาท ไปถึงลิตรละ 38 บาทหรือมากกว่านั้น แต่คงกลัวโดนด่าเลยขอตรึงราคาที่ลิตรละ 35 บาทไปก่อน ซึ่งทั้ง 2 เรื่องนี้รัฐบาลอ้างว่าเป็น 2 ใน 8 ของมาตรการช่วยเหลือแต่จริงๆเป็นการประกาศขึ้นราคามากกว่า เป็นที่น่าสังเกตว่ามาตราข่วยเหลือของรัฐบาลทั้ง 2 ครั้ง ไม่ได้ช่วยเหลือประชาชนส่วนใหญ่จริง แต่เป็นการซ้ำเติมมากกว่า อีกทั้ง แนวคิดเตาอั้งโล่ที่ย้อนยุค แถมมีข่าวว่าจะนำคนคิดเตาอั้งโล่มาเป็นปลัดกระทรวงพลังงาน ก็พอจะเห็นอนาคตของพลังงานไทยได้เลย และพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะตั้งกรรมการกี่ชุดก็จะแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจไม่ได้เพราะหลักคิดของผู้นำย้อนยุคไปต่อไม่ได้แล้ว

ดังนั้น คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยขอเสนอ 8 แนวทางแก้ไขปัญหาพลังงานและช่วยเหลือประชาชนดังนี้ 1.เก็บเงินจากก๊าซ LPG ที่ส่งเข้าโรงงานปิโตรเคมี กก.ละ 5-8 บาท เพื่อนำมาช่วยลดราคาก๊าซหุงต้ม เรื่องนี้สามารถทำได้ทันที และทำได้ง่ายกว่าการขอเงินจากค่าการกลั่นจากโรงกลั่นน้ำมัน ทั้งนี้ในอดีต สมัยตนเคยเป็น รมว.พลังงาน เคยสั่งเก็บ กก.ละ 1 บาท แต่ต่อมามีการยกเลิกการเก็บไปไม่ทราบสาเหตุ ซึ่งเรื่องนี้สามารถเก็บได้จริง เพราะก๊าซ LPG ได้มาจากก๊าซในอ่าวไทย และนำมาเข้าโรงแยกก๊าซ อีกทั้งได้มาจากการกลั่นน้ำมัน ซึ่งจะได้เงินปีละกว่าหมื่นล้านบาท

2.ปรับราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นให้เท่ากับราคาหน้าโรงกลั่นสิงคโปร์ ไม่ต้องมีค่าขนส่ง ค่าประกัน ค่าระเหย เรื่องนี้เป็นการเอาเปรียบประชาชนมาเป็นสิบปีแล้ว และต้องแก้ไข ส่วนค่าการกลั่นที่สูงที่ รมว.พลังงาน อ้างว่าจะสามารถเจรจาได้แต่ทำท่าจะเหลว ทั้งนี้ ไม่ใช่กำไร 1-2 บาทตามที่ รมว.พลังงาน บอก เพราะในต่างประเทศกำไรของโรงกลั่นสูงขึ้นอย่างมาก อย่างไรก็ตามราคาหน้าโรงกลั่นต้องปรับลงมาก่อนเพื่อความยุติธรรม เป็นที่น่าสังเกตว่าราคาน้ำมันในตลาดโลกปัจจุบันเท่ากับราคาสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แต่ราคาน้ำมันดีเซลปัจจุบันสูงกว่าสมัยนั้นมาก ราคาน้ำมันดีเซลลิตรละ 29.99 กับลิตรละ 35 บาทเลย แสดงถึงประสิทธิภาพในการบริหารจัดการที่ต่างกันมาก

3.ลดราคาค่าไฟฟ้า โดยนำกำไรสะสมจากรัฐวิสาหกิจเป็นแสนๆล้านบาท มาช่วยพยุงราคา อีกทั้งลดค่าส่วนต่างราคาซื้อจากเอกชน และราคาขายให้กับประชาชน รวมถึงต่อรอง “ค่าความพร้อม” ที่โรงงานไฟฟ้าที่ตั้งแล้วแต่ยังไม่ได้ไม่ผลิตไฟฟ้าแล้วรัฐยังต้องจ่ายเงินอยู่ ลดใบอนุญาตผลิตไฟฟ้า ออกเฉพาะที่จำเป็นและเป็นอนาคตเท่านั้น โรงไฟฟ้าไหนยังไม่สร้างให้ระงับไว้ก่อน รอให้ความต้องการใช้ไฟฟ้าเพิ่มก่อนค่อยสร้าง

4.ออกมาตราการลดค่าใช้จ่ายประชาชน รถเมล์ฟรี รถไฟฟรี น้ำประปาฟรี ไฟฟ้าฟรี สำหรับผู้มีรายได้น้อยและต้องใช้อย่างประหยัด รวมถึงการปรับลดค่าโดยสารสาธารณะของขนส่งมวลชนที่ได้ชื่อว่าแพงที่สุดในโลก และจะต้องมีมาตรการลดค่าใช้จ่ายด้านอื่นๆด้วย

5.ปรับโครงสร้างการใช้พลังงานของไทย โดยปรับประเทศไทยเข้าสู่อนาคต ส่งเสริมการใช้รถพลังงานไฟฟ้าให้มากและเร็วที่สุด มีจุดเติมพลังงานไฟฟ้ามากขึ้น และพัฒนาประเทศเป็นศูนย์กลางผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งต้องมีทั้งแบตเตอรี่ และ ไมโครชิพ

6.ปรับโครงสร้างการผลิตและการใช้ไฟฟ้า โดยเร่งผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนและพลังงานหมุนเวียน โดยเฉพาะพลังงานจากแสงแดดและพลังงานจากลม ต้องพัฒนาระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage System) ให้มีทั่วประเทศ

7.เร่งเจรจาแหล่งพลังงานในพื้นที่ทับซ้อน ไทย-กัมพูชา ซึ่งจะทำให้ไทยมีแหล่งพลังงานที่มั่นคงและมีราคาถูก อีกทั้งได้เงินจำนวนมากปีละหลายแสนล้านบาท ในนำมาพัฒนาประเทศและจัดทำสวัสดิการให้ผู้สูงอายุและกลุ่มเปราะบาง อีกทั้งกระจายความเสี่ยงในการพึ่งพาก๊าซจากประเทศเมียนมาที่มีการส่งเครื่องบินรบล้ำเข้ามาในดินแดนประเทศไทย

8.ส่งเสริมการพัฒนา นวัตกรรมสมัยใหม่ในการเดินทางเพื่อประหยัดพลังงาน เช่น โดรนไฟฟ้า มอเตอร์ไซค์พลังงานไฟฟ้า เรือพลังงานไฟฟ้า ฯลฯ เพื่อสามารถนำมาใช้ได้จริง เพื่อช่วยเหลือประชาชน โดยนำเงินกองทุนส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานมาใช้ในการค้นคว้าและวิจัย และส่งเสริมการใช้

นี่เป็น 8 มาตรการที่สามารถทำได้ทันที จะช่วยเหลือประชาชน และเป็นทิศทางของอนาคตของโลกที่ไทยต้องปรับตัวตาม โดยอยากให้เปรียบเทียบกับ 8 มาตรการของรัฐบาล และอยากตอบ พล.อ.ประยุทธ์ที่ชวนประชาชน 70 ล้านคนไปนั่งรถที่ พล.อ.ประยุทธ์ขับ ว่า คนขับยังเข้าเกียร์ถอยหลังแต่เข้าใจว่ารถเดินไปข้างหน้า แล้วจะตามโลกทันได้อย่างไร ขนาดยังต้องให้เด็กนักเรียนช่วยจับมือช่วยสอนการใช้เมาส์ในคอมพิวเตอร์ให้ ยิ่งแก้ตัวว่าเพื่อให้เด็กภูมิใจสอนนายกฯยิ่งไปกันใหญ่ เพราะเด็กรุ่นใหม่อยากภูมิใจว่ามีนายกฯเก่งๆมากกว่าที่จะต้องมาสอนนายกฯ ท่านน่าจะเข้าใจผิดอย่างรุนแรง

อีกทั้ง ประชาชนคิดว่าท่านไม่ถนัดเฉพาะเศรษฐกิจแต่ความจริงขนาดการทหารท่านก็ไม่ถนัดขนาดปล่อยให้เครื่องบินรบ มิก-29 ของเมียนมาบินเข้าน่านฟ้าไทยแถมยังแก้ตัวให้แทน แบบนี้การทหารท่านก็สอบตก อีกทั้งวันเดียวกันมีการจัดซื้อโดรน 7 ลำ ราคา 4 พันล้านบาท จากประเทศอิสราเอล และยังมีการเรียกร้องให้ซื้อ เอฟ-35 ทั้งที่การบริหารจัดการแย่ขนาดนี้ คิดแต่จะซื้ออาวุธเพิ่ม คิดกันได้เท่านี้จริงๆ ทั้งนี้ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่จะมีขึ้นนี้ ขอยืนยันว่าพรรคร่วมฝ่ายค้านและพรรคเพื่อไทยมีทีเด็ดแน่ ทั้งข้อมูลไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและเหล่ารัฐมนตรีที่จะโดนอภิปราย โดยเฉพาะรัฐมนตรีที่มีสภาพร่อแร่ตามข่าว โดยมั่นใจได้ว่าจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลหลังการอภิปรายแน่

ทางด้าน นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์และทิศทางการเมืองพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี พล.อ.ประยุทธ์มีคำสั่งให้สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) นำการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ว่ารัฐบาลแก้วิกฤติราคาพลังงาน เงินเฟ้อ ค่าครองชีพสูง ด้วยการใช้หน่วยงานความมั่นคงนำการแก้ไขวิกฤติเศรษฐกิจ ผิดฝาผิดตัว ตลอด 8 ปี พล.อ.ประยุทธ์ดูเหมือนจะยึดวิธีถ้าบริหารผิดพลาด ไร้ประสิทธิภาพ จะปัดความรับผิดชอบให้พ้นตัว หรือโยนความผิดให้คนอื่นไว้ก่อน วิธีคิดถ้ารถเสียให้ทุกคนลงไปช่วยกันเข็น เห็นได้ในหลายสถานการณ์ ประชาชนคนไหนจะอยากอยู่บนรถที่น้ำมันหมด คนขับขับไม่เป็น บังคับพวงมาลัยผิดทิศผิดทาง เข้ารกเข้าพง โอกาสรถพุ่งลงเหวสูง 8 ปี พล.อ.ประยุทธ์ ใช้ความมั่นคงนำทุกอย่าง เพื่อความมั่นคงของเก้าอี้ตัวเองก่อนความมั่นคงของประชาชนหรือไม่ วิกฤติการแพร่ระบาดโควิด-19 ก็ใช้ สมช.นำหน่วยงานด้านสาธารณสุขจนพรรคร่วมรัฐบาลต่างโวยวายว่าถูกยึดอำนาจ รัฐซ้อนรัฐ วิกฤติเศรษฐกิจแทนที่จะใช้สภาพัฒน์ร่วมกับหน่วยงานด้านเศรษฐกิจอื่นๆ กลับใช้ สมช.นำหน่วยงานด้านเศรษฐกิจ สะท้อนว่า พล.อ.ประยุทธ์ขาดความรู้ ความสามารถ ขาดความเข้าใจเรื่องเศรษฐกิจ ไม่มีความสามารถในการแก้ไขปัญหาวิกฤติ

“ไม่ไหวอย่าฝืน ตลอด 8 ปีของ พล.อ.ประยุทธ์ ระหว่างสร้างปัญหา กับแก้ไขปัญหา สมานแผล หรือสร้างแผลเป็นใหม่ ประชาชนประเมินได้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ ทำอย่างไหนมากกว่ากัน” นายอนุสรณ์ กล่าว