นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการพิจารณาแนวทางการเพิ่มขีดความสามารถของอาคารผู้โดยสารท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) ซึ่งมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานว่า ได้ติดตามผลการดำเนินงานการพัฒนา ทสภ. ของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี โดยที่ประชุมได้รับทราบความก้าวหน้าการว่าจ้างองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ไอเคโอ) ศึกษาแนวทางการเพิ่มขีดความสามารถของอาคารผู้โดยสาร ทสภ. ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างหารือกับสำนักงานอัยการสูงสุด ในการพิจารณาร่างข้อตกลง (Agreement) สำหรับการจ้างไอเคโอ เพื่อให้ได้ข้อสรุปแนวทางการดำเนินงานตามกฎหมาย และระเบียบที่เกี่ยวข้องก่อนลงนามในสัญญาจ้าง คาดว่าสำนักงานอัยการฯ จะพิจารณาร่างข้อตกลงแล้วเสร็จในเดือน ส.ค. 65

นายศักดิ์สยาม กล่าวต่อว่า ที่ประชุมยังได้รับรายงานความคืบหน้า การดำเนินงานก่อสร้างส่วนต่อขยายอาคารผู้โดยสารหลัก ด้านทิศตะวันออก (East Expansion) โดยได้รับทราบแนวทางการเร่งปรับแบบอาคารผู้โดยสารส่วนต่อขยายด้านทิศตะวันออก เพื่อให้สอดคล้องกับบริบททางการบินในปัจจุบัน ซึ่งจะใช้เวลาดำเนินการ 7 เดือน แล้วเสร็จประมาณเดือน ธ.ค. 65 จากนั้นจะเสนอคณะกรรมการ ทอท. เดือน ธ.ค.65 ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ช่วงเดือน ม.ค.-มี.ค.66 พิจารณาเห็นชอบ คาดว่าจะจัดหาผู้รับจ้างเดือน เม.ย.66 และก่อสร้างเดือน ก.ค.66 ใช้เวลา 29 เดือน แล้วเสร็จเดือน ธ.ค.68 ซึ่งจะทำให้ ทสภ. มีความพร้อมรองรับผู้โดยสารที่คาดว่าจะกลับมาในระดับ 65 ล้านคนต่อปี เท่ากับช่วงก่อนเกิดโควิด-19 ได้ในปี 68

นายศักดิ์สยาม กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ที่ประชุมได้มอบหมายให้ ทอท. พิจารณาตรวจสอบข้อสัญญา และเงื่อนไขการร่วมลงทุนโครงการสนามบินอู่ตะเภา ให้ชัดเจนว่าการพัฒนาเพื่อเพิ่มขีดความสามารถ ทสภ. และท่าอากาศยานดอนเมือง (ทดม.) ของ ทอท. มีลักษณะส่งผลกระทบต่อการประกอบการ และ/หรือการดำเนินโครงการฯ และวัตถุประสงค์ และเป้าหมายของโครงการสนามบินอู่ตะเภา อันเป็นการกระทำที่ผิดต่อสัญญาร่วมลงทุนตามข้อใดหรือไม่ อย่างไร เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดข้อพิพาทและฟ้องร้องต่อรัฐได้ และให้กระทรวงคมนาคมมีหนังสือแจ้งยืนยันผลการพิจารณาไปให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) ทราบด้วย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับโครงการก่อสร้างส่วนต่อขยายอาคารผู้โดยสารหลัก ด้านทิศตะวันออก (East Expansion) วงเงิน 7,830 ล้านบาท เมื่อสร้างแล้วเสร็จจะสามารถรองรับผู้โดยสารได้ 15 ล้านคนต่อปี