เมื่อวันที่ 6 ก.ค. ที่รัฐสภา นายจักรพล ตั้งสุทธิธรรม ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษาการเปิดสถานบันเทิงแบบครบวงจร (เอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์) การจัดเก็บรายได้ และภาษีจากธุรกิจกาสิโนถูกกฎหมายและมาตรการในการป้องกันและแก้ปัญหาบ่อนการพนันผิดกฎหมาย การแพร่ระบาดของตู้เกมพนันไฟฟ้าและการพนันออนไลน์ สภาผู้แทนราษฎร แถลงภายหลังการประชุมว่า จากการศึกษาดูงานและจัดสัมมนาพื้นที่ จ.ตาก เชียงราย และสระแก้ว ของ กมธ. ในช่วงที่ผ่านมาได้เก็บรวบรวมข้อมูลในประเด็นที่เกี่ยวข้อง คือ 1.ประเด็นด้านความมั่นคง มาตรการในการป้องกันการพนันผิดกฎหมายในภาพรวมและด้านการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งแนวทางการควบคุมการบริหารจัดการ การเปิดสถานบันเทิงแบบครบวงจร

2.ประเด็นด้านกฎหมายที่เกี่ยวข้องและแนวทางการจัดเก็บรายได้ และภาษีจากการเปิดสถานบันเทิงแบบครบวงจร 3.ประเด็นด้านการมีส่วนร่วมของประชาชน ความคุ้มค่าในการลงทุนและความเหมาะสมเกี่ยวกับสถานที่ และภูมิศาสตร์ในการเปิดสถานบันเทิงแบบครบวงจร 4.ประเด็นด้านมาตรการป้องกัน และแก้ไขปัญหาผลกระทบเชิงวัฒนธรรมจากการเปิดสถานบันเทิงแบบครบวงจร และ 5.ประเด็นด้านความคุ้มค่าในการลงทุน รูปแบบการเปิดสถานบันเทิงแบบครบวงจร รูปแบบธุรกิจที่เหมาะสม เพื่อการพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจของประเทศไทย

นอกจากนี้ กมธ. ได้มอบหมายให้คณะทำงานจัดทำรายงานสำรวจแบบสอบถามในพื้นที่ภูมิภาคต่างๆ เพื่อนำมาประกอบการจัดทำรายงานของ กมธ. โดยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนกลุ่มตัวอย่าง 3,296 คน เห็นด้วยกับการเปิดสถานบันเทิงแบบครบวงจรร้อยละ 80.67 ส่วนประเภทธุรกิจในสถานบันเทิงแบบครบวงจร อันดับ 1 ร้อยละ 63.20 อยากให้เป็นแบบห้างสรรพสินค้าครบวงจร อันดับ 2 ร้อยละ 39.23 เป็นสปา การผ่อนคลาย การนวดแผนไทย อันดับ 3 ร้อยละ 38.11 ต้องการให้มีธนาคาร และสถาบันการเงิน ขณะที่อันดับ 6 เป็นกาสิโนถูกกฎหมาย ร้อยละ 36.38

นายจักรพล กล่าวต่ออีกว่า เมื่อถามถึงพื้นที่ที่เหมาะสมต่อการเปิดสถานบันเทิงแบบครบวงจร อันดับ 1 ร้อยละ 56.13 ได้แก่พื้นที่ กทม. และอีอีซี ในรัศมีไม่เกิน 100 กม. จากสนามบินดอนเมือง สุวรรณภูมิ และอู่ตะเภา อันดับ 2 ร้อยละ 54.25 พื้นที่จังหวัดท่องเที่ยวเมืองหลัก และอันดับ 3 ร้อยละ 27.67 พื้นที่ชายแดนที่มีด่านตรวจคนเข้าเมืองถาวร ส่วนเมื่อถามถึงข้อกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของการเปิดฯ พบว่าร้อยละ 54.49 กังวลปัญหาอาชญากรรม ร้อยละ 52.40 กังวลปัญหาหนี้สิน และร้อยละ 39.71 กังวลปัญหาการถูกครอบงำจากต่างชาติ เป็นต้น อย่างไรก็ตามในวันที่ 20 ก.ค.65 กมธ. จะพิจารณาและลงมติเห็นชอบกับรายงานฉบับสมบูรณ์และนำเสนอต่อประธานสภาในวันที่ 27 ก.ค.65 เพื่อบรรจุเข้าสู่ระเบียบวาระการประชุมสภาต่อไป