กรณีมีผู้ใช้เฟซบุ๊ก ระบายความรู้สึกไม่พอใจ และไม่ได้รับความเป็นธรรม อยากให้เป็นกรณีศึกษา หลังหลานชายวัย 5 ขวบ นักเรียนชั้นอนุบาล 3 โรงเรียนแห่งหนึ่งใน อ.หนองกี่ จ.บุรีรัมย์ กลับมาจากโรงเรียนสภาพแขนหักผิดรูป โดยบอกว่าแขนหักตั้งแต่ตอนเที่ยง จึงรีบนำไปโรงพยาบาลเข้าเฝือก และต้องช็อกกับคำตอบของครู ที่บอกว่าไม่เห็นเด็กร้องไห้ ไม่ขอความช่วยเหลือ อีกทั้งหลังเป็นประเด็น ผู้อำนวยการโรงเรียนดังกล่าว และครู ติดต่อมาขอโทษ พร้อมรับปากจะจ่ายค่าเสียหายให้ แต่พอถึงวันนัดกลับบอกไม่มีเงินให้ไปฟ้องเอาเอง ตามที่ได้เสนอข่าวไปแล้วนั้น…

ความคืบหน้าเมื่อวันที่ 6 ก.ค. นายสุชิต ชมภูวงศ์ ผอ.สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประภมศึกษาบุรีรัมย์ (สพป.บร.) เขต 3 ได้นัดหมายให้นายอุเทน ระวะใจ ผอ.โรงเรียนโคกสูงคูขาด นางนิตยา ธวัชชัยสกุล ครูประจำชั้น นักเรียนวัย 5 ขวบ และ น.ส.กรรณิการ์ (สงวนนามสกุล) อาของนักเรียน 5 ขวบ มาเจรจากันที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาฯ

โดยได้เริ่มเจรจากันตั้งแต่เวลา 13.00 น. กระทั่งเมื่อเวลา 16.20 น. รวมแล้วกว่า 4 ชม. ที่มีการเจรจากัน สรุปจบกันด้วยดี ฝ่ายโรงเรียนจ่ายเงินค่าทำขวัญให้เป็นจำนวนเงิน 30,000 บาท ต่างฝ่ายต่างขอโทษซึ่งกันและกัน

อยากได้ฟ้องเอา! ‘5 ขวบ’ แขนหัก ครูเห็นตั้งแต่เที่ยงแต่เฉย อ้างเด็กไม่ร้องให้ช่วย

นางนิตยา กล่าวพร้อมนำภาพมาประกอบว่า ภาพที่ปรากฏในข่าว ไม่ตรงกับความเป็นจริง วันนั้นตนยังถ่ายภาพน้องขณะนั่งเรียนหนังสืออยู่ แขนไม่ได้หักงอเป็นรูปตัว L เหมือนกับภาพในข่าว แต่ได้เข้าไปท้วงเด็กจริง พร้อมกับแจ้งผู้ปกครองตอนมารับเด็กด้วย หลังจากเจรจากันนาน ฝ่ายอาของน้อง ได้ขอโทษ ที่ให้ข้อมูลบางอย่างผิดพลาดไปบ้าง ส่วนเรื่องการฟ้องกลับอาน้องนักเรียน 5 ขวบ ตามคำแนะนำของเพื่อน ตนไม่ทำ เพราะถือว่าจบลงแล้วด้วยดี

ด้าน น.ส.กรรณิการ์ กล่าวว่า ส่วนหนึ่งต้องยอมรับว่า หลานแขนหักมาจาก อบต. เข้ารักษาที่โรงพยาบาล และถอดเฝือกวันแรกแล้วไปโรงเรียนทันที ซึ่งมีโอกาสที่เด็กซึ่งอยู่ในวัยกำลังซน จะเล่นจนแขนหักซ้ำได้ ตนไม่ติดใจว่า “ทำไมแขนหลานถึงหัก” แต่ที่ติดใจคือทำไมไม่แจ้งผู้ปกครอง หรือพาไปหาหมอ ซึ่งสามารถทำอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือทำพร้อมกันได้ แต่ทั้งหมดก็จบลงด้วยดี ยังมั่นใจในศักยภาพของโรงเรียน จะให้หลานไปเรียนที่เดิม ส่วนหลานยังจะให้พักผ่อนที่บ้านก่อน อาการดีขึ้นไม่เจ็บ ไม่ปวด

ด้านนายสุชิต ชมภูวงศ์ ผอ.สพป.บร.เขต 3 กล่าวว่า ตอนนี้ถือว่าเข้าใจกันแล้วทั้งสองฝ่าย เหตุที่เกิดขึ้น อาจเป็นเพราะการให้ข้อมูลเพียงฝ่ายเดียวในตอนแรก โดยจะนำเคสนี้เป็นกรณีศึกษา เพื่อช่วยกันพัฒนาการศึกษาต่อไป