เมื่อวันที่ 7 ก.ค. นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย (มท.) เปิดเผยว่า เมื่อวานนี้ (6 ก.ค.) ได้มีการประชุมหารือแนวทางการป้องกันและแก้ปัญหายาเสพติด ร่วมกับนายอรรษิษฐ์สัมพันธรัตน์ รองปลัดกระทรวงมท. ด้านบริหาร นายทวี เสริมภักดีกุล รองอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น นายสมภพ สมิตะสิริ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรี นายศักดา บรรดาศักดิ์รองผู้ว่าราชการจังหวัดอ่างทอง พล.ต.ต.วิชิต บุญชินวุฒิกุล ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดอ่างทอง น.ส.วริษฐา สงวนเสริมศรี ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผน สำนักงานปลัดมท. นายสมชาย เกียรติก้องแก้ว ผู้อำนวยการสำนักอำนวยการกองอาสารักษาดินแดน กรมการปกครอง นายมานะ สิมมา ผู้ตรวจราชการกรมการปกครอง นายปวเรศ รัฐขจร ผู้อำนวยการศูนย์ดำรงธรรมมท. และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุม

นายสุทธิพงษ์ กล่าวว่า การประชุมในวันนี้ เป็นการประชุมเพื่อขับเคลื่อนแก้ไขปัญหายาเสพติดซึ่งถือเป็นปัญหาสำคัญของประเทศชาติที่ส่งผลกระทบสร้างความเสียหายให้กับประเทศชาติทั้งต่อคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชน ระบบสาธารณสุข และระบบเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศ ซึ่งรัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ได้กำหนดให้วาระการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด เป็นนโยบายเร่งด่วนและเป็นวาระแห่งชาติ ซึ่งเมื่อวันที่ 6 พ.ค. 65 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ได้มอบนโยบายในการขับเคลื่อนการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19

นายสุทธิพงษ์ กล่าวว่า โดยยึดหลักการทำงาน 3 ประการ คือ 1.ประชาชนต้องได้รับการช่วยเหลือเป็นอย่างดี 2.บูรณาการการทำงานร่วมกันทุกภาคส่วน และ 3.นำผู้เสพยาเสพติด ไปเข้ารับการบำบัดรักษา เพื่อเป็นการคืนคนดีสู่สังคม ให้เกียรติ ให้ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ โดยจะต้องไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง พร้อมตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจการดำเนินงานตามแนวทางการบูรณาการช่องทางการให้บริการของศูนย์บริการบำบัดรักษายาเสพติด โดยให้สายด่วนศูนย์ดำรงธรรม 1567 เป็นสายด่วนหลักในการบูรณาการศูนย์บริการบำบัดรักษาผู้เสพยาเสพติดหรือ “สายด่วนเลิกยาเสพติด” ร่วมกับภาคีเครือข่ายสายด่วนทั่วประเทศ ตลอด 24 ชั่วโมง และมุ่งพัฒนาสู่ระบบการโอนสายส่งต่อ (ระบบ Call Forward) โดยใช้ฐานข้อมูลผู้เสพฐานเดียวในการบูรณาการความช่วยเหลือ พร้อมทั้งใช้กลไกผู้ว่าราชการจังหวัดแจ้งผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเป็นหน่วยรับผิดชอบหลักในการจัดรถรับ-ส่งผู้ป่วยร่วมกับภาคเอกชนในพื้นที่ไปยังสถานพยาบาล โดยใช้ศูนย์วิทยุ 191 เป็นผู้ประสานงานระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และกำหนดแนวทางการบำบัด รักษา และฟื้นฟู สมรรถภาพด้านร่างกายและจิตใจ ด้วยกลไกในระดับพื้นที่ทั้ง 76 จังหวัด เพื่อเตรียมการก่อนการพิจารณาออกอนุบัญญัติเป็นแนวปฏิบัติตามประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. 2564
นายสุทธิพงษ์ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย (มท.1) ได้ให้ความสำคัญและเน้นย้ำให้กระทรวงมหาดไทยย้ำเตือนผู้ว่าราชการจังหวัดในฐานะผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดจังหวัด (ศอ.ปส.จังหวัด) และนายอำเภอในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดอำเภอ (ศป.ปส.อำเภอ) ใช้กลไกของกระทรวงมหาดไทยและบูรณาการทุกหน่วยงานในระดับพื้นที่เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้กับพี่น้องประชาชนให้ไม่ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด ด้วยการลด Demand Side และบูรณาการในการปราบปราม Supply Side ให้ยาเสพติดหมดไปจากทุกพื้นที่ในสังคมไทยอย่างยั่งยืน

นายสุทธิพงษ์ กล่าวอีกว่า เราจะใช้กลไกศอ.ปส.จังหวัด และศป.ปส.อำเภอ บูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในระดับพื้นที่ ขับเคลื่อนแปลงนโยบายสู่การปฏิบัติให้เกิดผลเป็นรูปธรรม คู่ขนานไปกับการขับเคลื่อนตามประมวลกฎหมายยาเสพติด พร้อมจัดตั้งศูนย์ฟื้นฟูสภาพทางสังคม ซึ่งในขณะนี้จังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ทำการสำรวจสถานที่ที่สามารถดำเนินการเป็นศูนย์ฟื้นฟูสภาพสังคม แบ่งเป็น ศูนย์ฟื้นฟูสภาพทางสังคมแก่ผู้ติดยาเสพติดหรือผู้ผ่านการบำบัดรักษาจังหวัด/อำเภอ และกองร้อยอาสารักษาดินแดน) จำนวน 907 แห่ง และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 336 แห่ง วัดและองค์กรชุมชนภาคีเครือข่าย 9 แห่ง โดยมท.จะดำเนินการสำรวจเพื่อขยายผลครอบคลุมในพื้นที่ของจังหวัด ทั้งกองร้อยอาสารักษาดินแดนจังหวัด กองร้อยอาสารักษาดินแดนอำเภอ รวมถึงสถานที่ที่เคยใช้เป็น Community Isolation หรือสถานที่อื่น ๆตามที่จังหวัดเห็นความเหมาะสม ให้กระจายครอบคลุมทั่วถึงในลักษณะศูนย์ฟื้นฟูสภาพทางสังคมจังหวัดส่วนแยก หรือสาขาอำเภอ ตามสภาพภูมิสังคม
นายสุทธิพงษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า มท.จะได้ดำเนินการเพิ่มประสิทธิภาพงานของศอ.ปส.จังหวัดและ ศอ.ปส.อำเภอ โดยมีเนื้องานครอบคลุม 5 กลุ่มภารกิจ คือ มิติการป้องกัน มิติการปราบปราม มิติการบำบัดรักษา มิติการฟื้นฟูสภาพทางสังคม และมิติสื่อสารสังคม พร้อมทั้งจัดตั้งคณะทำงานฟื้นฟูสภาพทางสังคม ก่อนที่จะมีการจัดตั้งศูนย์ฟื้นฟูสภาพทางสังคม ตามประมวลกฎหมายยาเสพติด รวมทั้งพัฒนาต่อยอดกระบวนการทำงานให้มีความเข้มข้น ด้วยการประมวลผลการดำเนินงานด้านการแก้ไขปัญหายาเสพติดของจังหวัด/อำเภอทั่วประเทศที่มีลักษณะเป็น Best Practice มาขยายผลเป็นตัวอย่างความสำเร็จให้กับจังหวัด/อำเภออื่นๆ ได้ใช้เป็นแนวทางในการขับเคลื่อนการดำเนินงานแก้ไขปัญหายาเสพติดในพื้นที่ เพื่อให้ลูกหลานคนไทยทุกคนห่างไกลจากยาเสพติด และมีภูมิคุ้มกันทางสังคม ผู้ที่หลงผิดไปเสพยาเสพติดได้รับการบำบัดรักษา และฟื้นฟูสภาพร่างกาย จิตใจ พัฒนาทักษะทางอาชีพ กลับคืนมาเป็นคนดีของสังคม ผู้ที่กระทำความผิดได้รับโทษตามกฎหมาย อันจะส่งผลทำให้ เพื่อสังคมไทยปลอดภัยจากยาเสพอย่างยั่งยืน.